Biz news

PwCชี้การวัดมูลค่าตราสารหนี้สีเขียวอาจ มีผลกระทบหลังIFRS9ปรับเกณฑ์SPPI



กรุงเทพฯ-PwC ประเทศไทย ชี้การจัดประเภทรายการและการวัดมูลค่าตราสารหนี้สีเขียว (green bonds) ในงบการเงิน อาจได้รับผลกระทบ หลัง IFRS 9 ได้ปรับปรุงแนวทางการประเมินสินทรัพย์ทางการเงินตามหลักเกณฑ์ SPPI
เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 69

28ตุลาคม2567 –PwC ประเทศไทยชี้มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน (IFRS 9: Financial Instruments) ฉบับปรับปรุงเกี่ยวกับแนวทางการประเมินสินทรัพย์ทางการเงินตามหลักเกณฑ์การชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยเท่านั้น (Soley Payments of Principal and Interest: SPPI) ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่1 มกราคม2569 อาจส่งผลกระทบต่อกำไรหรือขาดทุนในงบการเงินของบริษัทที่มีการลงทุนในตราสารหนี้สีเขียว เนื่องจากหากเงินลงทุนไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของ SPPI จะต้องวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเท่านั้นพร้อมคาดว่าTFRS 9 ฉบับปรับปรุงของไทยน่าจะเริ่มใช้ได้หลังวันที่ 1 มกราคม 2570 

นางสาววันดีลีวรวัฒน์หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชีบริษัท PwC ประเทศไทยกล่าวว่าคณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (International Accounting Standards Board: IASB) ได้ปรับปรุง IFRS 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดประเภทรายการและการวัดมูลค่าของสินทรัพย์ทางการเงินใหม่ โดยเป็นการให้แนวทางเพิ่มเติมในการประเมินและวิเคราะห์ลักษณะของกระแสเงินสดตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อพิจารณาว่าเข้าหลักเกณฑ์กระแสเงินสดตามสัญญาจากตราสารหนี้ที่ลงทุนว่าเป็นเพียงเงินต้นและดอกเบี้ย (SPPI) เท่านั้นหรือไม่และให้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประเมิน SPPI สำหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่มีเงื่อนไขที่สามารถเปลี่ยนแปลงกระแสเงินสดตามเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการจัดประเภทรายการและการวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินของตราสารหนี้สีเขียวที่อัตราดอกเบี้ยมักอิงกับตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน (Environmental, Social and Governance: ESG) ของผู้ออกตราสาร 

ทั้งนี้เดิมทีมาตรฐานการบัญชีIFRS 9 ไม่ได้มีหลักการที่ชัดเจน มีแต่เพียงข้อกำหนดว่า หากกิจการที่ลงทุนในตราสารหนี้เข้าข้อกำหนดตามหลักเกณฑ์ SPPI แล้วจะสามารถวัดเงินลงทุนได้สามวิธีโดยขึ้นอยู่กับโมเดลการบริหารสินทรัพย์ได้แก่  

1) ราคาทุนตัดจำหน่าย 
2) มูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น  
3) มูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุน 

อย่างไรก็ตามหากตราสารหนี้ที่ลงทุนไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของSPPI เงินลงทุนดังกล่าวจะต้องวัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเท่านั้นซึ่งวิธีการวัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนและมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นจะมีผลทำให้ตัวเลขที่ปรากฏในงบการเงินของบริษัทมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 

ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่าจะต้องวัดด้วยวิธีการใดคือการประเมินว่าตราสารหนี้ที่ลงทุนนั้นเป็นไปตามข้อกำหนดของ SPPI หรือไม่โดยที่ผ่านมากิจการหลายแห่งเลือกวิธีการวัดสินทรัพย์ที่ผ่าน SPPI และมีโมเดลการบริหารสินทรัพย์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรับกระแสเงินสดตามสัญญาและเพื่อขายสินทรัพย์ทางการเงินโดยวัดด้วยวิธีมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นแต่หากสินทรัพย์ดังกล่าวไม่เข้าข้อกำหนดของ SPPI สินทรัพย์นั้นก็จะต้องวัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนซึ่งทั้งสองวิธีนี้มีผลกระทบต่อกำไรขาดทุนของบริษัทแตกต่างกันนอกจากนี้ยังอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทที่ไม่ต้องการให้กำไรหรือขาดทุนของตนมีความผันผวนจากมูลค่ายุติธรรมผ่านงบกำไรขาดทุน เลือกที่จะไม่ลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าวเลย 

นางสาววันดีกล่าวต่อว่าการปรับปรุงมาตรฐานการบัญชีIFRS 9 ล่าสุดนั้นยังได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการประเมิน SPPI สำหรับทรัพย์สินทางการเงินที่มีเงื่อนไขที่สามารถเปลี่ยนแปลงเวลาและจำนวนกระแสเงินสดตามเงื่อนไขในสัญญาหากมีเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยให้หลักเกณฑ์สามข้อประกอบการประเมินได้แก่ 

1) กระแสเงินสดตามสัญญาทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นนั้น สอดคล้องกับข้อตกลงการให้กู้ยืมพื้นฐานหรือไม่  
2) ลักษณะของเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงและต้นทุนการให้กู้ยืมพื้นฐานหรือไม่ 
3) ในสถานการณ์ใด ๆ ที่เป็นไปได้ตามสัญญา กระแสเงินสดอาจแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากทรัพย์สินที่คล้ายคลึงกันโดยไม่มีคุณลักษณะเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่่่  

โดยการแก้ไข IFRS 9 ดังที่กล่าวข้างต้นนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 

คาดTFRS 9 ฉบับปรับปรุงของไทยเริ่มใช้หลังวันที่ 1 มกราคม2570 

นอกจากนี้หลักการดังกล่าวจะถูกนำมาใช้กับมาตรฐานการรายงานทางการเงินของไทยหรือ TFRS 9 ด้วยซึ่งสำหรับประเทศไทยนางสาววันดีคาดว่าTFRS 9 ฉบับปรับปรุงนี้จะมีผลบังคับใช้สำหรับงบการเงินที่เริ่มต้นในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2570 อย่างไรก็ดีกิจการสามารถนำมาใช้ก่อนได้ตามความสมัครใจ 

“แม้มาตรฐานTFRS 9 ฉบับปรับปรุงของไทยจะเริ่มบังคับใช้หลังมาตรฐาน IFRS 9 แต่เชื่อว่า บริษัทไทยหลายๆแห่งจะได้เริ่มนำแนวทางของIFRS 9 มาปรับใช้ในงบการเงินของตนถึงแม้ว่ามาตรฐานการรายงานทางการเงินของไทยจะยังไม่มีผลบังคับใช้ก็ตามซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบริษัทที่มีเงินลงทุนในตราสารหนี้สีเขียวที่มีเงื่อนไขตามที่สัญญาระบุ โดยกระแสเงินสดที่ผู้ออกตราสารจะต้องจ่ายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามตัวชี้วัด ESG หากบริษัทที่ลงทุนในตราสารประเภทนี้มีการตีความที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานIFRS 9 ที่มีการแก้ไขตัวเลขในงบการเงินก็จะได้รับผลกระทบและต้องมีการปรับปรุงให้ถูกต้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่เลือกใช้วิธีวัดแบบมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น หากต้องเปลี่ยนมาเป็นวิธีวัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนก็จะส่งผลถึงตัวเลขของผลการดำเนินงาน”นางสาววันดีกล่าว 
 
“เมื่อเป็นเช่นนี้บริษัทที่สนใจต้องการจะลงทุนในตราสารหนี้สีเขียวควรต้องมีการวิเคราะห์สินทรัพย์การลงทุนประเภทนี้ให้ถี่ถ้วนก่อนเข้าลงทุนเพราะถ้าเงินลงทุนดังกล่าวไม่ผ่านเงื่อนไขการประเมิน SPPI อาจส่งผลกระทบต่อกำไรหรือขาดทุนในงบการเงินจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมได้” เธอกล่าว