Digitel Tech & AI

STT GDC เริ่มก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ แห่งที่สามในกรุงเทพฯ



กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 3 มีนาคม 2568-เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) หรือ STT GDC Thailand ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ประกาศเริ่มดำเนินการก่อสร้าง STT Bangkok 2 ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สามในประเทศไทย เพื่อรองรับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญในประเทศ โดยดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของ STT Bangkok แคมปัส ที่มีศักยภาพพัฒนากำลังไฟฟ้าได้ถึง 24 เมกะวัตต์ (MW) ผ่านระบบจ่ายไฟจากสองแหล่งจ่าย เพื่อเพิ่มเสถียรของระบบ โดยการก่อสร้างได้เริ่มดำเนินการแล้วและคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 4 ของปี 2569

คุณสมบัติการประมวลผลยุคใหม่

STT Bangkok 2 ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล สำหรับการประมวลผลยุคใหม่ ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้นำเสนอการติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวหรือ Liquid Cooling ที่มีความเฉพาะ กับการประมวลผลขั้นสูง รวมทั้งสามารถรองรับเวิร์กโหลด AI ที่ต้องการการจัดการความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นวัตกรรมการระบายความร้อนแบบไฮบริดที่สามารถรองรับได้ทั้งการระบายความร้อนด้วยอากาศและของเหลวจะช่วยมอบความยืดหยุ่นเพื่อสนับสนุนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในดาต้าเซ็นเตอร์ ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกโซลูชันที่ตรงกับความต้องการที่เฉพาะได้ 

ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการในการประมวลผลที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้งานในปัจจุบันไปจนถึงการประมวลผลความเร็วสูงที่ทันสมัยที่สุด โดยการออกแบบที่ยืดหยุ่นของ STT Bangkok 2 จะช่วยให้ธุรกิจสามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของความต้องการด้านการประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว

คุณบุศรินทร์ ประดิษฐยนต์ Country Head เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า "ดิฉันและทีมงานรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เริ่มการก่อสร้าง STT Bangkok 2 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญและตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะสนับสนุนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของประเทศไทย โดยดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ไม่เพียงแต่เพิ่มขีดความสามารถให้กับเราเพื่อตอบสนองความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขั้นสูงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความเป็นผู้ให้บริการชั้นนำในภูมิภาค" 

การขยายธุรกิจของ STT GDC ในประเทศไทย

การพัฒนา STT Bangkok 2 เป็นองค์ประกอบสำคัญของการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของ STT GDC ในประเทศไทย และขยายความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ไปสู่การพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ที่พร้อมรองรับ AI สำหรับตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย โดยโครงการนี้ยังช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำของบริษัทฯ ในเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังพัฒนารวดเร็วในภูมิภาค

"จากการผสานความเชี่ยวชาญระดับโลกเพื่อการพัฒนาและดำเนินการดาต้าเซ็นเตอร์ของ STT GDC เข้ากับประสบการณ์ด้านเวิร์กโหลด AI จะทำให้ STT Bangkok 2 พร้อมตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ต้องการการประมวลผลขั้นสูงและรองรับการขับเคลื่อนด้วย AI" คุณบุศรินทร์ กล่าวเสริม

STT Bangkok 2 เป็นการพัฒนาต่อยอดความสำเร็จมาจาก STT Bangkok 1 ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกของบริษัทฯ ในประเทศไทย ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2564 ด้วยกำลังไฟฟ้าขนาด 22 เมกะวัตต์ เมื่อ STT Bangkok 1 และ STT Bangkok 2 รวมกันแล้วจะกลายเป็นดาต้าเซ็นเตอร์แคมปัสขนาดใหญ่ของ STT Bangkok ที่พร้อมนำเสนอโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า โดยแคมปัสแห่งนี้จะมีกำลังไฟฟ้ารวมกันมากถึง 46 เมกะวัตต์ เพียงพอสำหรับลูกค้าในการขยายศักยภาพการดำเนินงานภายในสถานที่เดียวกันที่ตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์

การขยายแคมปัสนี้ ทำให้ STT GDC Thailand สามารถให้บริการที่ยืดหยุ่นแก่ธุรกิจต่าง ๆ เพื่อสร้างการเติบโตด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีอย่างราบรื่นตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลง พร้อมยังรองรับ AI และเปิดกว้างให้เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโครงข่ายแบบเสรี (Carrier-Neutral)

และยังมี STT Bangkok 3 ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่ 3 กำลังไฟฟ้าขนาด 2 เมกะวัตต์ และตั้งอยู่ในโครงการ One Bangkok ที่มีชื่อเสียง ด้วยดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งสามแห่งนี้ทำให้ STT GDC ยืนหยัดเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย1 อย่างมั่นคง พร้อมรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับบริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสูงในอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศที่กำลังขยายตัวรวดเร็ว

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ STT Bangkok 2 และบริการของ STT GDC ในประเทศไทย สามารถคลิกเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ https://www.sttelemediagdc.com/

บรรยายภาพดาต้าเซ็นเตอร์แคมปัส STT Bangkok ขนาดใหญ่ ที่รวม ดาต้าเซ็นเตอร์สำคัญ - STT Bangkok 1 (ตึกขวามือสุดที่เปิดดำเนินการแล้ว) และ STT Bangkok 2 (ตึกตรงกลางที่กำลังก่อสร้าง)โดยทั้งหมดจะให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 46MW ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์เดียวกัน สามารถรองรับการขยายธุรกิจที่มีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น