Health & Beauty

เสวนาสรุปบทเรียน'คุมเหล้าและดันกาสิโน' แฉธุรกิจน้ำเมาเอาเปรียบ/8กลุ่มต้านบ่อน



กรุงเทพฯ-วงเสวนา สรุปบทเรียนควบคุมแอลกอฮอล์และผลักดันตั้งกาสิโน  แฉภาคธุรกิจและคนขายเหล้าเอาเปรียบ ย้ำชัดกฎหมายผ่านสภาผู้แทนฯแต่ยังไม่ผ่านวุฒิสภาเจ้าหน้าที่ต้องบังคับใช้กฎหมาย เผยประชาชน 8 กลุ่มต้านกาสิโน เพราะกระทบ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ยืนยันเดินหน้าคัดค้านหาพลังหนุนจากคนรุ่นใหม่  ส่วน บอร์ด สสส.ชี้ อาจส่งผลคนดื่มเหล้ามากขึ้น ภาคีต้องปรับกลยุทธ์ในการทำงานและร่วมมือกันมากขึ้น สื่อมวลชนพร้อมให้ปัญญากับสังคม   

        

เมื่อวันพุธที่ 30  เมษายน  2568 ณ ห้อง บุษบงกช บี ชั้น 2 โรงแรมรอยัลริเวอร์  เขตบางพลัด  กรุงเทพมหานคร  มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) , เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  จัดประชุมเสวนา เรื่อง “สรุปบทเรียนและก้าวต่อไปของกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์และกาสิโน”  โดยมี นายจิระ ห้องสำเริง สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ

 นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ด้านการสื่อสารมวลชน   กล่าวเปิดการเสวนาว่า ช่วงนี้ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของภาคีภาคประชาสังคมที่ทำงานรณรงค์และขับเคลื่อนผลักดันนโยบายและกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสังคม การที่ฝ่ายการเมืองเร่งรัดผลักดันแก้ไขพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  แก้ไขเนื้อหาหลายประเด็นจะทำให้ความชุกในการดื่มของประชาชนมากขึ้น ส่งผลให้ภาคีต้องปรับแนวทางในการทำงานใหม่ เช่นเดียวกับการที่รัฐบาลพยายามผลักดันเสนอกฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนรวมอยู่ด้วยนั้นได้เกิดปรากฎการณ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นมากนักที่ทุกฝ่ายในสังคมได้แสดงพลังคัดค้านแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคก็แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยจนทำให้รัฐบาลต้องประกาศถอยชั่วคราว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกเสนอกฎหมายฉบับนี้เพราะคนในรัฐบาลยังยืนยันว่าจะต้องอธิบายสื่อสารให้คนเข้าใจมากขึ้นก่อน ดังนั้นภาคีปัจจัยเสี่ยงทั้งแอลกอฮอล์ การพนัน จำเป็นต้องร่วมมือกับสื่อสารมวลชนในการให้ความรู้สร้างปัญญาให้กับสังคมและสะท้อนความเห็นของผู้คนทั้งประเทศให้ผู้กำหนดนโยบายได้รับรู้

  

นายชูวิทย์  จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า  ร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 สภาผู้แทนราษฎรแล้วขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา คาดว่าจะกลับเข้ามาพิจารณาในวาระ 2-3 ของ สว.ในสมัยประชุมหน้าซึ่งแนวโน้มอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในร่างที่ผ่านสภาผู้แทนฯ แล้ว เช่น กำหนดให้มีผู้แทนผู้ผลิต นำเข้า ขาย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนึ่งคนเป็นกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  แต่หากมีวาระพิจารณาที่มีส่วนได้เสียต้องออกจากที่ประชุม ซึ่งจุดนี้ในกฎหมายเดิมไม่มี  ส่วนคณะกรรมการควบคุมฯ จังหวัดและกทม.มีการเพิ่มผู้แทนสภาเด็กและเยาวชนและเพิ่มนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นรองประธานคณะกรรมการจังหวัดด้วย นอกจากนี้มีการผ่อนปรนให้ขายและดื่มได้ในสถานที่ราชการได้ กรณีจัดกิจกรรมพิเศษโดยต้องขออนุญาตเป็นครั้งคราว มีการยกเลิกประกาศคณะปฎิวัติ ฉบันที่ 253 เรื่องกำหนดเวลาขายสองช่วงเวลา คือ 11.00-14.00  และ 17.00-24.00 น. แม้จะยกเลิกประกาศฉบับนี้ไปแล้วแต่ประกาศสำนักนายกฯที่กำหนดเวลาขายไว้สองช่วงเวลาเช่นกันยังคงอยู่ เรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิดคิดว่ายกเลิกแล้ว ส่วนการห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีและคนเมา มีการตรวจบัตร  ตรวจอาการคนเมา  และเพิ่มความรับผิดของผู้ขายหากรู้ว่าเป็นเด็กหรือคนเมาแล้วยังขายให้จนไปเกิดความเสียหายต่อชีวิตร่างกายทรัพย์สินผู้อื่นผู้ขายต้องรับผิดทางแพ่งด้วย เพิ่มโทษปรับที่หนักขึ้นจาก 20,000 เป็น 100,000 บาทอีกด้วย 

ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์กล่าวอีกว่า มีการเพิ่มเติมให้ขายโดยเครื่องขายอัตโนมัติได้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กำหนดเช่น ตรวจอายุผู้ซื้อ ช่วงเวลา สถานที่ตั้ง และดูอาการเมาของผู้ซื้อด้วย ส่วนในเรื่องการโฆษณาโดยหลักการบุคคลทั่วไปสามารถแสดงผลิตภัณฑ์ได้หากไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ทางการค้า การโฆษณาทำได้แค่ให้ความรู้ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น ไม่ใช่โฆษณาอะไรก็ได้  เรื่องนี้ต้องไปออกกฎหมายลูกอีกว่าจะคุมเข้มแค่ไหน  ส่วนเรื่องตราเสมือนที่เคยใช้กันเพื่อหลบเลี่ยงกฏหมาย เช่นน้ำดื่ม โซดา มีการห้ามการโฆษณาที่ทำให้เข้าใจหรือสื่อไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ต้องโฆษณาแบบตรงไปตรงมาเท่านั้น เพิ่มอำนาจตักเตือนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ในความผิดครั้งแรกที่ไม่ร้ายแรง มีการปรับเป็นพินัย กรณีความผิดเล็กน้อย รวมถึงการเพิ่มอำนาจให้ปิดสถานที่ ระงับการเผยแพร่สื่อโฆษณา พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขายหากพบความผิดตามกฎหมายนี้  ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาพบว่า มีธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้านเหล้าผับบาร์ ฉวยโอกาสทำผิดกฎหมาย ซี่งเราได้รวบรวมข้อมูลเตรียมไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงขอย้ำว่ากฎหมายฉบับเดิมยังบังคับใช้อยู่ เจ้าหน้าที่รัฐต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้จริงจัง หลังจากนี้ ภายในระยะเวลา 1 ปี หากฎหมายบังคับใช้แล้ว จะต้องไปจัดทำกฎหมายระดับรองอีกจำนวน 38 ฉบับ

นายธนากร  คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน (มรพ.) กล่าวความคืบหน้าการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ที่มีกาสิโนรวมอยู่ด้วยว่าสิ่งที่ทั้งรัฐบาลและประชาชนต่างต้องเรียนรู้และตระหนักในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมาคือคนที่ออกมาค้านจำนวนไม่น้อยเป็นพลังเงียบที่มีอยู่จริง และจะแสดงพลังเมื่อถึงเวลาอันสมควร  สรุปได้ว่ามีประมาณ 8 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มคปท. ศปปส. กองทัพธรรม ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ต้องการขับไล่รัฐบาล   2. เครือข่ายภาคประชาสังคม นำโดยมูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและ 100 องค์กร ซึ่งมีมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะรวมอยู่ด้วย มีจุดยืนคือให้มีมาตรการและกลไกที่ชัดเจนในการควบคุม แก้ปัญหาปัญหาและลดผลกระทบทางสังคม   3.กลุ่มแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข เช่น ชมรมแพทย์อาวุโสและบุคลากรทางการแพทย์ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์  กลุ่มแพทย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ  4. คณาจารย์และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย เช่น 99 นักวิชาการที่เคยคัดค้านเรื่องนี้เมื่อปีที่แล้ว 5.องค์กรด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเช่นสภาการศึกษาคาทอลิคแห่งประเทศไทย  สภาคริสตจักรในประเทศไทย พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมสถาบันศึกษาปอเนาะจังหวัดชายแดนใต้ กับเครือข่ายสภาวัฒนธรรมทั่วประเทศ   6. ภาคธุรกิจ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวบางจังหวัด 7.เครือข่ายแรงงาน   สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย   และ 8.กลุ่มด้านนิติบัญญัติ อดีตสมาชิกวุฒิสภา 189 คน  อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 102 คน ชมรมสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 2550 ที่สำคัญหลายพรรคการเมืองแสดงจุดยืนชัดเจน เช่น พรรคไทยสร้างไทย พลังประชารัฐ ประชาชาติ ส่วนพรรคประชาชน ภูมิใจไทยยังไม่แสดงท่าทีชัดเจน ที่น่าสนใจคือวุฒิสภาจำนวนมากเริ่มมีท่าทีคัดค้านมากขึ้น

เลขาธิการมรพ.กล่าวต่อว่าเหตุผลผู้ที่คัดค้านเพราะเห็นผลกระทบ 3 ด้านคือด้านสังคม เช่น ปัญหาอาชญากรรม ธุรกิจสีเทา และความปลอดภัยในสังคม ผลกระทบทางสุขภาพจากการเสพติดพนัน ความเครียด ผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ด้านเศรษฐกิจเห็นว่าไม่มีความไม่จำเป็นต้องมีกาสิโนเพราะประเทศไทยมีสิ่งดีๆอยู่มากมาย ความไม่คุ้มค่าของการลงทุน เป็นการเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขยายวงกว้างมากขึ้น ด้านการเมือง เช่นไม่ได้อยู่ในนโยบายที่หาเสียงในช่วงเลือกตั้ง ร่างกฎหมายขาดความรัดกุม ความไม่เชื่อมั่นในการบังคับใช้กฎหมายและการทุจริตคอรัปชั่น ที่ผ่านมาภาคประชาชนพยายามสื่อสารให้ข้อมูลมาตลอดทั้งบทเรียนจากต่างประเทศ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการมีกาสิโน  อย่างไรก็ตามพบว่าข้อมูลข่าวสารยังคงกระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลางประชาชนในต่างจังหวัดยังรับรู้เรื่องนี้มากนัก คนที่ออกมาคัดค้านก็เป็นคนรุ่นเก่าเป็นหลักส่วนเยาวชนคนรุ่นใหม่ยังออกมาไม่มากนัก  สิ่งที่จะทำต่อไปของภาคประชาชนคือ เรียกร้องให้ทำประชามติ ขณะนี้มีรายชื่อสนับสนุนแล้วประมาณ 55,000 รายชื่อ การเปิดพื้นที่สานเสวนารับฟังความเห็นคนรุ่นใหม่ การสานพลังทุกกลุ่มที่ออกมาคัดค้านในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการศึกษาช่องทางในการฟ้องร้องตามกฎหมาย หากรัฐบาลดึงดันที่จะเดินหน้ากฎหมายฉบับนี้ต่อ

ด้านสื่อมวลชนที่เข้าร่วมการเสวนา เห็นด้วยว่า จะต้องเผยแพร่ข้อมูลความคืบหน้าของทั้งสองประเด็นให้สังคมส่วนใหญ่ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสื่อสารและหาเสียงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ ให้แสดงบทบาทและมีส่วนร่วมในการคัดค้านและสะท้อนความคิดเห็นไปสู่รัฐบาลได้มากขึ้น ส่วนนายอภิวัชร เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ได้สรุปว่า ทาง มสส. และ สสสย. พร้อมที่จะมีบทบาทในการสนับสนุนการทำงานของภาคีแอลกอฮอล์ และการพนันในการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป