Biz news
SABINAเผยผลงานไตรมาสแรกปี2568 รายได้รวม845.1ล.มั่นใจ9เดือนหลังฉลุย

กรุงเทพฯ 16 พฤษภาคม 2568 : SABINA เผยผลประกอบการไตรมาสแรก (มกราคมถึงมีนาคม) ปี 2568 รายได้รวม 845.1 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2567 คิดเป็น 6.8% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 102.7 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 16.3% ยอมรับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวฉุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แต่ผลงานที่ออกมายังดีกว่าที่คาด ย้ำที่ผ่านมา บริษัทฯ วางแผนรับมือล่วงหน้าด้วยการดูแลค่าใช้จ่าย-เซฟต้นทุนโดยเฉพาะต้นทุนค่าแรง รวมถึงการออกคอลเลคชั่นใหม่ด้วยการคอลแลบกับแบรนด์ “น้องเนย” ทำให้ประคองยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกได้อย่างน่าพอใจ มั่นใจ 9 เดือนที่เหลือของปีนี้ จะกลับมาสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายอีกครั้ง
นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “ซาบีน่า” เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปี 2568 ของบริษัทฯ ที่มีรายได้รวมและกำไรสุทธิ ลดลง 6.8% และลดลง 16.3% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นเรื่องของฐานตัวเลขปี 2567 ที่เติบโตได้ดีแล้ว ต้องยอมรับว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จนทำให้สำนักวิจัยเศรษฐกิจต่างๆ พากันปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ทำให้การจับจ่ายใช้สอยชะลอตัวลง ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีนี้ออกมาดีกว่าที่บริษัทฯ คาดไว้ ซึ่งมาจากการที่ฝ่ายบริหารของบริษัทฯ ประเมินถึงผลกระทบด้านรายได้ล่วงหน้า ทำให้วางแผนออกคอลเลคชั่นใหม่ด้วยการคอลแลบกับแบรนด์ “น้องเนย” ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายในกลุ่มแฟนคลับ ขณะเดียวกัน SABINA ยังเดินหน้าควบคุมค่าใช้จ่ายและต้นทุนต่างๆ อย่างรัดกุม เพื่อประคับประคองผลการดำเนินงาน ทั้งค่าใช้จ่ายด้านแรงงานที่แม้ค่าแรงขั้นต่ำจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ด้วยการบริหารจัดการของ SABINA ที่เน้นเพิ่มทักษะและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ทำให้บริษัทฯ ควบคุมจำนวนพนักงานให้สอดคล้องกับปริมาณงาน โดยรักษาคุณภาพและมาตรฐานการผลิตไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งมั่นใจว่า ในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปีนี้ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนและมีปัจจัยท้าทายรออยู่ แต่ SABINA จะสามารถกลับมาสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้ได้อย่างแน่นอน โดยจะยังมีสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ๆ ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน แม้ว่า SABINA จะมีรายได้จากการส่งออกในรูปแบบรับจ้างผลิต (OEM) ในสัดส่วน 6% ของรายได้รวม แต่บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า จากการที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นกำแพงภาษีกับประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย เนื่องจากลูกค้าในต่างประเทศของบริษัทฯ เป็นลูกค้ากลุ่มสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรเป็นหลัก แม้ว่า ที่ผ่านมาจะมีลูกค้าจากสหรัฐอเมริกาสนใจติดต่อเข้ามา ซึ่งถือว่า เป็นโอกาสที่ดีในการขยายฐานลูกค้าและขยายตลาด แต่อาจจะยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม
“ปัจจุบันเรามีสัดส่วนลูกค้า OEM หรือรับจ้างผลิต 6% ของรายได้รวม ซึ่งถ้าเป็นช่วงปี 2549 ก่อนเราเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ ตอนนั้นเราทำ OEM เกือบ 100% และส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ถึง 70% แล้วมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เราได้รับผลกระทบ 100% แน่นอน แต่หลังจากเราปรับ Business Model มีรายได้หลายทาง ทั้งจากช่องทางค้าปลีก (Retail) ช่องทางไม่มีหน้าร้าน (Non Store Retailing-NSR) และช่องทาง OEM ทำให้โครงสร้างรายได้ของเรายืดหยุ่นมากขึ้น และรับมือกับผลกระทบต่างๆ ได้ดีขึ้น โดย ณ ขณะนี้ เรายังมั่นใจว่า โครงสร้างรายได้จากทั้ง 3 ช่องทางยังมีสัดส่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่โครงสร้างรายได้จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต โดยเฉพาะช่องทางไม่มีหน้าร้านหรือ NSR ที่ยังมีโอกาสขยายตัวได้อย่างมีศักยภาพตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าว