In News

คณะทูต-ผู้ช่วยทูตทหาร-สื่อฯไทย-ตปท. ลงพิสูจน์ข้อเท็จจริงชายแดนไทย–เขมร



อุบลราชธานี-คณะทูต-ผู้ช่วยทูตทหาร-สื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ เดินทางถึงอุบลราชธานี เตรียมลงพื้นที่พิสูจน์ข้อเท็จจริงชายแดนไทย–กัมพูชา ในการลงพื้นที่ คณะทูตและสื่อนานาชาติ ให้ความสนใจในข้อมูลพยานหลักฐานที่รัฐบาลไทยนำเสนอ ยืนยันการตอบโต้เป็นไปตามสิทธิป้องกันตนเองหลังถูกโจมตีเป้าหมายพลเรือนด้วยอาวุธรุนแรงพร้อมประณามการบิดเบือนข้อมูลอย่างจงใจของกัมพูชา หลังจากนั้นได้นำคณะทูต และสื่อมวลชนกว่า 150 คน ลงพื้นที่ชี้จุดกัมพูชายิง BM-21 ถล่มปั๊ม สะท้อนหลักฐานการโจมตีพลเรือนไทยอย่างชัดเจนย้ำไทยตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและหลักฐานชัด โรงพยาบาลถูกโจมตีทั้งที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร สะท้อนความไร้มนุษยธรรมของกองทัพกัมพูชา นอกจากนี้ ได้พาคณะทูต และสื่อ ลงพื้นที่เยี่ยมศูนย์พักพิงผู้อพยพ วิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษ์ ศรีษะเกษ กว่า 5,000 คน

วันนี้ (วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568) เวลา 09.25 น.-นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า คณะผู้แทนทางการทูต ผู้ช่วยทูตทหารจาก 23 ประเทศ พร้อมด้วยสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศรวมกว่า 100 คน ได้เดินทางถึงจังหวัดอุบลราชธานีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเตรียมลงพื้นที่แนวชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา

การเดินทางในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและ ความโปร่งใสของรัฐบาลไทย ที่พร้อมเปิดพื้นที่ให้คณะทูตต่างประเทศและสื่อมวลชนได้เห็น ข้อเท็จจริงด้วยตนเอง และรายงานต่อประชาคมโลกอย่างเป็นธรรม โดยไม่ปิดบังหรือบิดเบือน

คณะทูตต่างประเทศที่ลงพื้นที่ในวันนี้ ประกอบด้วย เอกอัครราชทูต 3 ประเทศ ได้แก่ บรูไน ญี่ปุ่น และเมียนมา อุปทูต 2 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย และสปป.ลาว ผู้แทนทางการทูตระดับต่าง ๆ จาก 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ จีน เวียดนาม และฟิลิปปินส์ และผู้ช่วยทูตทหารจาก 23 ประเทศ ได้แก่ จีน มาเลเซีย สหราชอาณาจักรปากีสถาน เกาหลีใต้ รัสเซีย สิงคโปร์ เยอรมนี อินเดีย ลาว แคนาดา ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เวียดนาม อิตาลี เนเธอร์แลนด์ อินโดนีเซีย สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ บรูไน และทูร์เคีย

พร้อมสื่อมวลชนไทยประมาณ 110 คน จาก 18 สำนักข่าว/หน่วยงาน และสื่อต่างประเทศ ประมาณ 39 คน จาก 23 สำนักข่าว/หน่วยงาน

“การที่รัฐบาลไทยเปิดพื้นที่ให้คณะทูตและสื่อมวลชนเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์จริงในพื้นที่ชายแดน แสดงให้เห็นถึง ความบริสุทธิ์ใจของประเทศไทย ว่าเรายึดมั่นในความโปร่งใส ไม่ปิดบังข้อเท็จจริง และพร้อมให้ประชาคมโลกตัดสินด้วยสายตาของตนเอง” นายจิรายุกล่าว

ทั้งนี้ คณะจะลงพื้นที่จริงในหลายจุดที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งรวมถึงโรงเรียน โรงพยาบาล บ้านเรือนประชาชน และศูนย์พักพิง โดยจะมีการแถลงข่าวสดจากพื้นที่จริงในช่วงเย็นวันนี้

คณะทูตและสื่อสนใจในข้อมูลพยานหลักฐาน

เวลา 10.40 น. ณ มทบ.22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า  รัฐบาล โดย ศบ.ทก. กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักนายกรัฐมนตรี และกรมประชาสัมพันธ์ ได้นำคณะเอกอัครราชทูต 3 ประเทศ (บรูไน ญี่ปุ่น เมียนมา) อุปทูต 2 ประเทศ (มาเลเซีย สปป.ลาว) ผู้แทนทางการทูตระดับต่าง ๆ 6 ประเทศ (อินโดนีเซีย สหรัฐฯ สิงคโปร์ จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์) และทูตทหาร รวม 23 ประเทศ (อาทิ จีน มาเลเซีย ปากีสถาน เกาหลีใต้ รัสเซีย สิงคโปร์ อินเดีย แคนาดา ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์)

พร้อมสื่อมวลชนไทยและสื่อมวลชนต่างประเทศรวมกันจำนวน 150 คน (อาทิ Agencia EFE, AFP, Asahi Shimbun, CNN, CCTV, CMG, NHK, Reuters, Xinhua) รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย และข้อเท็จจริงเรื่องการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา 

ทั้งนี้ รัฐบาลได้มอบหมายให้ 1)นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 2)พล.ต. นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 3)พล.ต. วินทัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และ 4)พ.อ. พัฒนา พันธุ์มงคล ผู้แทนกรมข่าวทหารบก  และ 5) ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี บรรยาย

พ.อ. พัฒนา พันธุ์มงคล ผู้แทนกรมข่าวทหารบก  กล่าวสรุปดังนี้ 

1. ลำดับเหตุการณ์และข้อเท็จจริงฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยั่วยุตั้งแต่ต้นปี 2568 ผ่านกิจกรรมทั้งทางทหารและพลเรือน ได้แก่ การพานักท่องเที่ยวร้องเพลงปลุกใจในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม (13 ก.พ.), การเผาศาลาตรีมุข (28 ก.พ.), การดัดแปลงภูมิประเทศแนวชายแดนเพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร (มี.ค.–เม.ย.), การเสริมกำลังและยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดน (เม.ย.–พ.ค.) รวมถึงการลักลอบขุดคูติดต่อในเขตไทย และการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ทำให้ทหารไทยขาขาด 2 นาย และบาดเจ็บอีกหลายราย ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ ยังมีการส่งมวลชนและทหารในเครื่องแบบ-นอกเครื่องแบบมาจัดกิจกรรมยั่วยุในพื้นที่ปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือน ทำให้เกิดการปะทะกับคนไทยในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

ฝ่ายไทยจึงใช้มาตรการควบคุมชายแดน โดยการล้อมรั้วลวดหนามเพื่อป้องกันการบุกรุก แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงยกระดับการโจมตี โดยเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 68 ทหารกัมพูชายิงใส่ทหารไทยก่อนบริเวณปราสาทตาเมือนธม ก่อนจะยกระดับ ความรุนแรง ขยายเป็นการใช้ปืนใหญ่และจรวด BM-21 โจมตีเป้าหมายพลเรือนลึกเข้าไปในประเทศไทย เช่น รพ.พนมดงรัก  ปั๊มน้ำมันบ้านผือ ร้านสะดวกซื้อ โรงเรียน และบ้านเรือนในสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี มีผู้บาดเจ็บ 36 ราย เสียชีวิต 15 ราย (รวมเด็ก 1 คน) และต้องอพยพมากกว่า 150,000 คน ฝ่ายไทยจึงตอบโต้ภายใต้หลักการป้องกันตนเอง (ตามArticle 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ) อย่างจำเป็นและได้สัดส่วน โดยมีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายิงจากเขตพลเรือนและใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์

2. สถานการณ์ปัจจุบัน หลังการเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 68 ฝ่ายกัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงต่อเนื่อง โดยในช่วงหลังเที่ยงคืนได้บุกรุกพื้นที่ 6 จุด ได้แก่ ช่องบก (อุบลราชธานี), ช่องซำแต, ผามออีแดง, ภูมะเขือ, พลาญยาว (ศรีสะเกษ), และปราสาทตาควาย (สุรินทร์) โดยการละเมิดยังดำเนินต่อถึงวันที่ 30 ก.ค. เวลา 05.10 น. ตามภาพหลักฐาน

ล่าสุด วันที่ 31 ก.ค. 68 พบว่ากัมพูชาเพิ่มกำลังตามแนวชายแดน และใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ล้ำเข้ามาในเขตไทยเพื่อสอดแนม ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ที่บ่งชี้ถึงความไม่จริงใจในการเคารพข้อตกลงหยุดยิง

3. การตอบโต้การบิดเบือนข้อมูลของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งได้เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนหลายประเด็น ได้แก่

  1. กล่าวหาว่าไทยรุกรานและละเมิดอธิปไตย ซึ่งไทยยืนยันว่าปฏิบัติตาม Article 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเคร่งครัด และมีสิทธิตอบโต้ด้วยความจำเป็นและได้สัดส่วน
  2. กล่าวหาไทยใช้ระเบิดเคมี ซึ่งเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง ไทยไม่มีการใช้หรือครอบครองอาวุธเคมี การอ้างภาพระเบิดเคมี เป็นภาพจากเหตุการณ์ดับไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย ปี 2022
  3. กล่าวหาว่าไทยใช้ F-16 และอาวุธหนักเพื่อโจมตี ซึ่งไม่เป็นความจริง อาวุธทุกชนิดที่ใช้เพื่อการป้องกันตนเองและใช้เฉพาะเป้าหมายทางทหาร
  4. กล่าวหาไทยทิ้งระเบิด MK-84 ใส่บ้านเรือนประชาชน โดย CMAC ของกัมพูชานำเสนอภาพเก่าและอ้างว่าเป็นของไทย ทั้งที่เป็นวัตถุระเบิดเก่าสมัยสงครามเวียดนาม ไทยปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างสิ้นเชิง และขอให้กัมพูชาหยุดเผยแพร่ข้อมูลเท็จ พร้อมเชิญชวนให้ร่วมมือกับไทยและประชาคมโลกเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ด้วยสันติวิธี

ไทยขอยืนยันว่าเหตุปะทะครั้งนี้เกิดจากการโจมตีก่อนของฝ่ายกัมพูชา โดยใช้อาวุธระยะไกลโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ทั้งที่มีการเจรจาหยุดยิงแล้ว ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงและปล่อยข้อมูลบิดเบือนอย่างเป็นระบบ ไทยขอให้ประชาคมระหว่างประเทศติดตามสถานการณ์อย่างเข้าใจ และร่วมผลักดันให้เกิดการเจรจาแบบทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหาภายใต้หลักสันติวิธี

ขณะที่ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวยืนยันการลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการที่เปิดกว้าง โดย คณะทูตประเทศอาเซียน 8 ประเทศ รวมถึง สหรัฐ จีน และญี่ปุ่น ทูตทหารรวมถึงสื่อมวลชนไทยและสื่อต่างประเทศ เพื่อเน้นย้ำถึงความความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไม่ใช่การนำเสนอข้อมูลที่ถูกควบคุมและชี้นำ ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับเสรีภาพของสื่อมวลชน

โดยวัตถุประสงค์วันนี้ เพื่อสื่อสารให้ประชาคมโลกได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริงในพื้นที่ ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจาบนหลักการและความถูกต้องและจริงใจ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีภายใต้กรอบทวิภาคีได้ในที่สุด  รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงจุดยืนและการดำเนินการของไทยว่ายืนอยู่บนหลักการกฏหมายระหว่างประเทศ ที่จะให้การเจรจาทวิภาคีอย่างสันติวิธีในการแก้ไขปัญหา ได้ใช้ความอดกลั้นมาโดยตลอด และการป้องกันตนเองตามแนวทางกฏบัตรสหประชาชาติ และกฏหมายระหว่างประเทศ

นายรัศม์ยังย้ำว่า ท่ามกลางการนำเสนอข้อมูลที่ขัดแย้งกันระหว่างสองฝ่าย สิ่งหนึ่งที่มีหลักฐานชัดเจน คือ กัมพูชาได้โจมตีโรงพยาบาล โรงเรียน บ้านเรือน ร้านค้า ปั๊มน้ำมันในพื้นที่ชุมชนอย่างหนัก ทำให้สตรี เด็กและประชาชนที่ไม่มีอาวุธต้องสูญเสียชีวิต ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ทหารไทยจำเป็นต้องโต้ตอบเพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตของประชาชนไทย

จากนั้น ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้รายงานถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ว่า ขณะนี้มีการอพยพพี่น้องประชาชนมากกว่า 20,000 คน ไปยังศูนย์พักพิงและศูนย์อพยพในพื้นที่กว่า 68 แห่ง ซึ่งอยู่ห่างจากแนวพรมแดนประมาณ 70 กิโลเมตร โดยการอพยพดังกล่าวได้สร้างความยากลำบากในการดำเนินชีวิตของประชาชน ทั้งยังมีการปิดโรงพยาบาล 3 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอีก 20 แห่ง โดยชาวจังหวัดอุบลราชธานีได้รับความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน มีพลเรือนเสียชีวิต 1 ราย และมีความเสียหายต่อทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก 

นายจิรายุกล่าวต่อไปว่าหลังการรับฟังบรรยายสรุปแล้วในช่วงบ่าย จะพาคณะไปดูจุดที่ถูกกัมพูชายิงถล่มเข้าใส่พื้นที่ใช้งานของพลเรือน อาทิ โรงพยาบาลโรงเรียนและพื้นที่สาธารณะของพลเรือน ต่อไป

คณะทูตและสื่อมวลชนกว่า150คนลงพื้นที่ชี้จุดกัมพูชายิงBM-21 ถล่มปั๊ม 

เวลา 13.00 น. ณ สถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ ตำบลหนองหญ้าลาด อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า รัฐบาลโดย ศบ.ทก. ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักนายกรัฐมนตรี และกรมประชาสัมพันธ์ ได้นำคณะเอกอัครราชทูต อุปทูต ทูตทหารจาก 23 ประเทศ พร้อมสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างชาติ รวมกว่า 150 คน ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายจากเหตุการณ์สู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

จุดแรกของการลงพื้นที่คือสถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 (Grad) ใส่เป้าหมายพลเรือนอย่างจงใจ ตัวอาคารร้านสะดวกซื้อในบริเวณดังกล่าวถูกไฟไหม้เสียหายเกือบทั้งหมด โดยมีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ประชาชนในพื้นที่ รวมถึงคณะผู้สังเกตการณ์จากทั้งคณะทูตและสื่อมวลชน เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุและรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงในพื้นที่โดยตรง

ประชาชนในพื้นที่ได้แสดงความขอบคุณต่อคณะทูตและสื่อมวลชนที่ลงพื้นที่เพื่อรับทราบสถานการณ์จากประสบการณ์จริง ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นหลักฐานชัดเจนที่สะท้อนถึงการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศของฝ่ายกัมพูชา โดยใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายพลเรือนซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจทางทหาร ส่งผลให้สิ่งปลูกสร้างเสียหายรุนแรง และมีผู้เสียชีวิตในพื้นที่ คณะทูตานุทูตและสื่อมวลชนจากนานาชาติได้เห็นด้วยสายตาตนเอง ถือเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่รัฐบาลไทยได้รายงานมาโดยตลอด

โอกาสนี้ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การนำคณะทูตทั้ง 23 ประเทศลงพื้นที่ในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาคมระหว่างประเทศได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากต้นทาง โดยสื่อมวลชนจากแต่ละประเทศได้เห็นหลักฐานที่สะท้อนอย่างชัดเจนว่ากัมพูชามุ่งโจมตีพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้ประเทศไทยจำเป็นต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ภายใต้กรอบขององค์การสหประชาชาติ อันเป็นการปกป้องสิทธิตามหลักสากล

“ขอย้ำว่า การดำเนินการของฝ่ายไทยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องประชาชนและอธิปไตยของชาติ การตอบโต้ของไทยเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสากล จากการโจมตีพลเรือนอย่างไร้มนุษยธรรมจากกัมพูชา” นายจิรายุ กล่าว

ภาพสลด..รพ.ไทยถูกเขมรถล่มเละรพ.สต.บ้านซำเม็ง

เวลา 14.00 น. ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านซำเม็ง ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์จังหวัดศรีสะเกษ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า รัฐบาลโดย ศบ.ทก. ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักนายกรัฐมนตรี และกรมประชาสัมพันธ์ ได้นำคณะเอกอัครราชทูต อุปทูต และทูตทหารจาก 23 ประเทศ พร้อมสื่อมวลชนไทยและต่างชาติ ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหาย ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านซำเม็ง

โรงพยาบาลฯ แห่งนี้ดูแลประชาชนจาก 3 หมู่บ้าน โดยเมื่อเวลา 08.30 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม ขณะเจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นนัดแรก จึงอพยพผู้ป่วยและบุคลากรเข้าไปยังบังเกอร์ด้านหลังโรงพยาบาลฯ ก่อนปฏิบัติตามคำสั่งจังหวัด เพื่อรอการอพยพเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่บางส่วนได้นำผู้ป่วยออกจากพื้นที่ ขณะที่เจ้าหน้าที่ชายยังอยู่ประจำเพื่อดูแลสถานที่และช่วยเหลือประชาชนที่ยังไม่สามารถอพยพได้

ต่อมาในวันที่ 25 กรกฎาคม เกิดการปะทะกันรุนแรงในพื้นที่ จึงมีคำสั่งให้บุคลากรทั้งหมดถอนกำลังเพื่อความปลอดภัย จนกระทั่งวันที่ 26 กรกฎาคม เวลา 11.30 น. มีรายงานแจ้งว่าตัวโรงพยาบาลถูกกระสุนโจมตี ทำให้ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ได้รับความเสียหาย โดยโรงพยาบาลซึ่งเป็นสถานที่ช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บ ไม่ควรถูกใช้เป็นเป้าหมายในการโจมตี อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชากลับเลือกยิงใส่สถานพยาบาล ทั้งที่ด้านหลังของโรงพยาบาลยังเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มีเด็กเล็กอยู่ 30 คน พร้อมครูดูแลอีก 5 คน การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

ด้านผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 บ้านซำเม็ง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ระหว่างสถานการณ์ตึงเครียด ได้มีการลาดตระเวนเฝ้าระวังตลอดเวลา โดยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเป็นสถานที่ดูแลสุขภาพของพี่น้องในหมู่บ้าน ไม่มีใครคาดคิดว่าจะตกเป็นเป้าหมายการโจมตี และขอขอบคุณคณะทูตและสื่อมวลชนที่เดินทางมาสำรวจพื้นที่จริง เห็นกับตาถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำอันไร้มนุษยธรรมของฝ่ายกัมพูชา

พาคณะทูตและสื่อเยี่ยมศูนย์พักพิงผู้อพยพกว่า5,000 คน

เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์พักพิง วิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกรรมการศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า รัฐบาลโดย ศบ.ทก.  กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักนายกรัฐมนตรี และกรมประชาสัมพันธ์  นำคณะเอกอัครราชทูต อุปทูต และทูตทหารจาก 23 ประเทศ พร้อมสื่อมวลชนไทยและสื่อต่างชาติ ลงพื้นที่ศูนย์พักพิง วิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษ์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์พักพิง เปิดเผยว่า ศูนย์พักพิงฯ แห่งนี้ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเร่งด่วนเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลาประมาณ 09.30 น. หลังได้รับแจ้งเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีนักเรียนและนักศึกษาในสังกัดกว่า 3,000 คน ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับทั้งนักเรียน และประชาชนในพื้นที่ที่ต้องอพยพ

การบริหารจัดการภายในศูนย์พักพิงฯ ใช้บุคลากรในสถานศึกษาจำนวน 127 คนร่วมดูแล มีทั้งฝ่ายบริหารจัดการ ฝ่ายพยาบาลและสุขาภิบาล ฝ่ายลงทะเบียนและจัดที่พัก รวมถึงฝ่ายกิจกรรมบำบัดทางจิตใจ โดยในวันแรกมีผู้อพยพลงทะเบียนเข้าพักถึง 5,147 คน ซึ่งเกินขีดความสามารถของอาคารอเนกประสงค์ที่ใช้เป็นพื้นที่รวมพล จึงต้องปรับห้องเรียนเป็นที่พักชั่วคราว พร้อมจัดระบบสุขาภิบาล ห้องน้ำ ห้องส้วม และพื้นที่รับประทานอาหาร

ศูนย์พักพิงฯ มีขั้นตอนการรับผู้อพยพเริ่มจากการลงทะเบียนระบุชื่อ หมู่บ้าน และตำบล จากนั้นจึงจัดให้รอพักในพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ ก่อนแยกเข้าห้องพักอย่างเป็นระบบ โดยจัดเตรียมอาหารวันละประมาณ 15,000 กล่อง มีการจัดคิวแจกอาหารเพื่อให้สามารถรับอาหารได้อย่างทั่วถึง รวมถึงกิจกรรมสันทนาการเพื่อดูแลสุขภาพจิต ร่วมกับอำเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ และจิตอาสาจากหลายภาคส่วน รวมถึงเจ้าหน้าที่จากสภากาชาดไทย

ระบบสุขาภิบาล ได้รับความร่วมมือจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลเมือง และหน่วยงานท้องถิ่นในการจัดหาน้ำสะอาด ระบบกำจัดขยะ และดูแลสุขลักษณะของสถานที่อย่างใกล้ชิด พร้อมมีการจัดเวรยามดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โดยได้รับความร่วมมือจากสถานีตำรวจกันทรลักษ์ และหน่วยรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน ซึ่งหมุนเวียนกันมาดูแลผู้พักพิงอย่างต่อเนื่อง

นอกจากการประเมินผลจากผู้พักพิงและการสื่อสารประชาสัมพันธ์รายวัน สะท้อนว่า ประชาชนพึงพอใจในระดับสูง ดูแลผู้ประสบภัยจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ

“ผู้ที่อยู่ในศูนย์ฯ พอใจการจัดการ โดยทุกคนได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากภาครัฐ ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นายกเหล่ากาชาด ท้องถิ่น ทั้ง อบจ. อบต. รวมถึงเจ้าหน้าที่สาธารณสุข  อสม. ช่วยดูแลเรื่องอาหาร ยารักษาโรค ที่พัก สุขอนามัย ความปลอดภัย รวมทั้งมีกิจกรรมฟื้นฟูสภาพจิตใจ มีการดูแลความปลอดภัยในศูนย์ ถึงวันนี้ ยังไม่เคยมีเหตุโจรกรรมเลย ทุกคนมั่นใจและปลอดภัยภายใต้สถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้น” นายจิรายุกล่าว