Authority & Harm

แค้นสะสมพี่น้องคุยไม่ลงตัวกับธุรกิจกงสี พี่รองยิงน้อง4-ลูกชายดับก่อนฆ่าตัวตาม



นครปฐม-สลดรับวันหยุดเมื่อพี่ชายคนที่ 2 ขอบครอบครัว วัย 70 ปีอดีตอาจารย์มีปัญหากับน้องชายคนที่ 4 เรื่องธุรกิจห้องเช่ากงสีของครอบครัว เกิดปะทะคารมกันบริเวณทางออกจากบ้าน ทำให้พี่ชายกลับบ้านไปขวาปืนขนาด 9 มม.จ่อยิงหลานชาย ก่อนเดินเข้ารั้วกระสุนใส่น้องชายตัวเอง และกลับมาซ้ำที่ลูกชายอีกนัดและเดินกลับไปปิดที่ตัวเองจบปัญหาสะสางมากกว่า 20 ปี 

เมื่อเวลา 16.30 น. ของวันที่ 11 สิงหาคม 2568 ร้อยตำรวจเอกธนณัฐฏ์ อินธรประเสริฐ  รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม  ได้รับแจ้งมีคน ถูกอาวุธปืนยิงเสียชีวิตและมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก หลายราย และได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 1 ราย  เหตุเกิดที่บ้านเลขที่ 28/4 หมู่ 5 ถนนไผ่เตยใต้  ต. ห้วยจระเข้  อ.เมืองนครปฐม   หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ  และเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม  พันตำรวจเอกอชิรวัตติ์ ถาวรเจริญวัฒน์ผกก. สภ.เมืองนครปฐม และชุดสืบสวน แพทย์เวร รพ.นครปฐม เจ้าหน้าที่มูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นครปฐม กองพิสูจน์หลักฐาน 7 

ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ศูนย์กู้ชีพ โรงพยาบาลนครปฐม และเจ้าหน้าที่ มูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์ นครปฐม ได้เร่งการปฐมพยาบาลทำซีพีอาร์ ให้กับผู้ได้รับบาดเจ็บสองรายโดยหนึ่งรายเป็นชายสูงวัย และอีกคนหนึ่งเป็นคนหนุ่ม ทราบว่าทั้งคู่เป็นพ่อลูกกัน จากนั้นได้นำส่งผู้เป็นพ่อที่โรงพยาบาลกรุงเทพสนามจันทร์ ส่วนลูกชายได้เร่งนำส่งไปที่โรงพยาบาลนครปฐม โดยแพทย์ได้เร่งทำการยื้อชีวิตทั้งสองคนเอาไว้แต่ทั้งคู่ ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะเดียวกันทราบว่าในที่เกิดเหตุได้มีผู้ถูกยิง และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุหนึ่งราย จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเจ็ดและแพทย์เวรโรงพยาบาลนครปฐม ชันสูตรพลิกศพ

จากการตรวจสอบ พบว่าที่เกิดเหตุอยู่ริมถนนโดยบ้านหลังแรกที่มีชายถูกยิงสองคนอยู่บริเวณปากทางส่วนบ้านด้านในเป็นบ้านชั้นเดียวมีรถเก๋งหรูจอดอยู่ เลขที่ 28/5 หมู่ 5 ถนนไผ่เตยใต้  ต. ห้วยจระเข้  ภายในบ้านพักพบศพนายสมศักดิ์ วรรธนะศิรินธร์ อายุ 70 ปี เจ้าของบ้านนอนหงายเสียชีวิตอยู่ที่บริเวณกลางบ้าน สวมเสื้อสีดำกางเกงขาสั้นสีเทา  ถูกอาวุธปืนยิงเข้าที่บริเวณขมับขวา 1 นัด นอนจมกองเลือด  ใกล้กันพบอาวุธปืนขนาด 9 มม.ตกอยู่  เจ้าหน้าที่จึงเก็บเป็นหลักฐาน

ส่วนผู้ที่ถูกยิง เสียชีวิต 2 ราย คือนายสมชาย สุจินดากิจ อายุ 63 ปีถูกยิงเข้าที่หน้าอกและลำตัวและลูกชายคือ นายทรงยศ สุจินดากิจ  อายุ 20 ปี  ได้นอนร้องครวญครางจมกองเลือดอยู่ที่หน้าบ้าน  เจ้าหน้าที่นำขึ้นรถกู้ชีพปั๊มหัวใจทำการช่วยชีวิตทั้งคู่จนสุดความสามารถแต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ โดยบริเวณดังกล่าวมีชาวบ้านที่ตกใจกับเหตุการณ์ดังกล่าวมาจับกลุ่มดูหลังเหตุการณ์ด้วยความตกใจ 

จากการสอบถามในเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายสมศักดิ์ ผู้ก่อเหตุ และนายสมชาย นายสมยศ  ซึ่งทั้งคู่ได้เป็นพี่น้องกัน จาก 5 คนพี่น้อง โดยนายสมศักดิ์ เป็นลูกคนที่ 2 ส่วนสมชาย เป็นลูกคนที่ 4 ในครอบครัว ซึ่งได้มีปัญหากันโดยมีปากเสียงเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจห้องเช่าและทรัพย์สมบัติ ซึ่งที่ผ่านมาทั้งผู้ก่อเหตุและผู้บาดเจ็บนั้นมีปากเสียงกันมาอย่างยาวนานหลายปีแล้ว  ในทั้งเรื่องของธุรกิจทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเงินกงสีของครอบครัว  ก่อนเกิดเหตุได้มีปากเสียงและเคยพูดท้าทายข่มขู่กันมาตลอดว่าจะยิงกัน โดยมีเรื่องถนนทางเข้าบ้านซึ่งบ้านผู้ก่อเหตุอยู่ด้านใน ส่วนพ่อลูกจะมีบ้านอยู่ตรงทางออก ทำให้มีการท้าทายและสะสมความขัดแย้งกันมากว่า 20 ปี 

สอบถามนางสาวจิราภรณ์หรือฝน อายุ 25 ปี ผู้เห็นเหตุการณ์ บอกว่า ตนเองนั่งอยู่ในร้านอาหารที่อยู่ตรงข้ามที่เกิดเหตุ และเหตุผู้ชายคนที่ก่อเหตุชื่อทราบว่าคนเรียกกันว่า อาจารย์โต ซึ่งน่าจะเป็นอดีตอาจารย์ ได้เดินมายิงผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกชายคือนายทรงยศ หรือแปะเล้งไป 1 นัด และนอนร้องโอดโอยครวญครางด้วยความเจ็บปวด จากนั้นได้เห็นว่ามีการต่อสู้ยื้อยึดกันกับผู้หญิงคนหนึ่งผมสีขาวคาดว่าน่าจะเป็นภรรยยของนายสมชาย และได้มีการวิ่งเข้าไปในบ้านที่อยู่ปากซอยก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด คาดว่าน่าจะยิงใส่นายสมชาย ผู้เป็นพ่อ และพากันวิ่งออกมาที่หน้าบ้าน ก่อนจะชัดปืนยิงใส่นายทรงยศหรือแปะเล้งอีก 1-2 นัด แล้วค่อยๆเดินกลับไปบ้านอย่างใจเย็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งตนเองได้บอกให้แฟนโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ว่ามีเหตุยิงกันไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด มาทราบทีหลังว่า เป็นการยิงตัวตายของผู้ก่อเหตุ 

โดยจากการตรวจสอบกำนันและผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ทราบว่าเหตุความขัดแย้งของสองครอบครัวนี้เกิดขึ้นมายาวนานโดยได้เคยมีการเชิญผู้นำให้ไปช่วยไกล่เกลี่ยหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จจนเป็นที่ทราบดีว่านายสมศักดิ์และนายสมชายไม่ถูกกันอย่างรุนแรงกระทั่งมาเกิดเหตุสลดในวันนี้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้มีการสอบปากคำพยานบุคคลและติดตามภาพจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุมาประกอบเพื่อสรุปสาเหตุของชนวนเหตุนี้ให้แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง