Travel Sport & Entertain

บพท.เปิดตัวหนังสือการจัดการทุนวธ.ไทย ทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติ



กรุงเทพฯ-วัฒนธรรมไทยอยู่กับวิถีชีวิต อยู่กับทุกฤดูกาล อยู่กับทุกสถานการณ์ ขณะที่เรื่องราวและคุณค่ายังคงมีอยู่ แต่หากไม่ศึกษาเชิงลึก ขาดความรู้ของพื้นที่ ใช้ง่ายแบบฉาบฉวย และไม่สามารถจัดการทุนวัฒนธรรมให้มีพลังขึ้นมาได้ ในที่สุดงานคุณค่าเหล่านี้ก็จะอาจเลือนหายไป และมูลค่าก็เสื่อมลงในที่สุดนั่นเอง...

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ได้จัดงานเปิดตัวหนังสือ “การจัดการทุนวัฒนธรรมไทย: ทฤษฎีและการปฏิบัติ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในมหกรรมทุนวัฒนธรรม National Cultural Symposium “สืบสาน สร้างสรรค์พลังทุนวัฒนธรรมสู่เศรษฐกิจยั่งยืน” The Power of Culture: Driving to Economic Sustainability ภายในงาน อว. FAIR Creatures of Tomorrow 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ทั้งนี้ ‘การจัดการทุนวัฒนธรรมไทย ทฤษฎีและการปฏิบัติ’ เป็นหนังสือที่เขียนโดย ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย ที่ปรึกษาการขับเคลื่อนวิทยสถาน “ธัชภูมิ” เพื่อการพัฒนาพื้นที่ และ ดร.ธนภณ วัฒนกุล ผู้เชี่ยวชาญการบริหารงานวิจัยเชิงพัฒนาพื้นที่ด้านทุนทางวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งเรียบเรียงความรู้และประสบการณ์ผ่านวิธีคิดอย่างเป็นระบบ วิธีการศึกษาทุนวัฒนธรรม พร้อมนำเสนอตัวอย่างรูปธรรมของการจัดการทุนวัฒนธรรมที่เกิดจากความมีส่วนร่วมของผู้คนในพื้นที่ซึ่งนำไปสู่การสร้างรายได้เพิ่ม ภายใต้การขับเคลื่อนชุดโครงการจัดการทุนวัฒนธรรมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจ ชุมชน และสำนึกท้องถิ่น ที่มีการขับเคลื่อนงานต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 จนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการวัฒนธรรม ย่าน ตลาด เทศกาล และผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม เปรียบเสมือนเข็มทิศหรือเครื่องมือที่จะช่วยให้นักวิจัย มหาวิทยาลัย หน่วยงาน หรือผู้ที่จะก้าวเข้าสู่งานเรื่องการจัดการทุนวัฒนธรรมได้มีตัวช่วยให้สามารถทำงานง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีองค์ประกอบของ Methodology ที่จะช่วยให้สามารถใช้กระบวนการวิจัยสร้างการมีส่วนร่วมในพื้นที่ เพื่อให้เป็นการจัดการทุนวัฒนธรรมที่ก้าวไปสู่ความยั่งยืนตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้น

ดร.สีลาภรณ์ กล่าวว่า คำว่า “การจัดการ” นั้นสำคัญและมักจะถูกมองข้าม ซึ่งหน่วย บพท. ให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงในทุกกรณีด้วย “การจัดการโดยใช้ข้อมูลและความรู้” ไม่ใช่การจัดการแบบสั่งการ  โดยการทำงานขับเคลื่อนทุนวัฒนธรรมไทยอาศัยการจัดการให้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้มีพลังขึ้นมา เป็นการจัดการเพื่อ “หมุนวงจรของคุณค่าและมูลค่า” ด้วยการรู้จักและเข้าใจอย่างแท้จริง เนื่องจากประเทศไทยมีความร่ำรวยทางวัฒนธรรมสูงมาก และมีกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก โดยสังเกตได้จากตระกูลภาษาประมาณ 90 ตระกูลสามารถอยู่ร่วมกันได้บนความแตกต่าง ดังนั้นทุนวัฒนธรรมของไทยจึงหยั่งรากลึกและไม่เคยถูกกลืนกินจากชาติอื่นได้ ซึ่งมีความหมายต่อความเจริญก้าวหน้าและการกำหนดทิศทางการพัฒนาของประเทศสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น การแสดงทางวัฒนธรรม  หากเราไม่สามารถสัมผัสเข้าใจถึงความคิด ความเชื่อ และความรู้สึกของผู้ที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรม เราก็จะเห็นเป็นเพียงการแสดง แต่ไม่สามารถงัดพลังคุณค่าของมันขึ้นมาสร้างมูลค่า โดยที่ยังสามารถสืบสานคุณค่าเหล่านั้นให้คงอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ทางด้าน ดร.ธนภณ กล่าวว่า พยายามเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนไทย วัฒนธรรมไทย และการจัดการแบบไทย ซึ่งร้อยละ 90 เป็นการจัดการแบบเครือญาติหรือแบบพวกพ้อง มีวัฒนธรรมชาวบ้านเป็นรากฝอยมหาศาลที่หยั่งลึก ช่วยพยุงและยึดรากใหญ่ให้หนาแน่นหลอมรวมเป็นวัฒนธรรมชาติ จึงอาจบอกไม่ได้ชัดเจนว่าใครควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้ เพียงแต่คนที่ทำงานด้านนี้ควรจะได้อ่าน เพื่อให้มีแนวทางในการทำงานด้วยความเข้าใจ สำนึกความเป็นชาติ และมีความระมัดระวัง

“ทุนทางวัฒนธรรมเปรียบเสมือนรากของต้นไม้ ‘วัฒนธรรมของชาติ’ คือรากแก้วที่หยั่งลึก ‘ทุนวัฒนธรรมของชุมชน’ ที่หนาแน่นคือรากฝอยช่วยยึดรากแก้ว ผสานเป็น “ทุนทางวัฒนธรรมของไทย” ดังนั้นหากรากยิ่งลึกและแผ่กว้าง ลำต้นซึ่งเปรียบเสมือน ‘ทุนทางสังคม’ ก็จะยิ่งเติบโต ทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้รากมั่นคงอยู่ได้ ฉะนั้นสังคมมีหน้าที่ขับเคลื่อนทุนวัฒนธรรมเหล่านี้ให้เกิดการใช้ประโยชน์ รักษา และพัฒนา หากมีกระบวนการจัดการทางสังคม ความเจริญงอกงามก็จะกลายเป็นกิ่งก้านออกดอกออกผลตามฤดูกาลต่าง ๆ คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปตามฤดูกาล สิ่งเหล่านี้จึงสัมพันธ์กันตลอดเวลา ควบคู่ไปกับการพัฒนา “ทุนมนุษย์” ที่มีสำนึกและจัดการทุนวัฒนธรรมให้ทั้ง 3 สิ่งนี้ประกอบกันอยู่ได้ ดังนั้นหากเรามีการจัดการที่ดี ทุนวัฒนธรรมเหล่านี้ก็จะสร้างรายได้ให้กับพื้นที่และประเทศอีกแบบหนึ่ง”

ดร.สีลาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศที่ยังคงมีความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรมแม้จะผ่านการถูกล่าอาณานิคมมา และไทยเป็นหนึ่งในนั้น เรื่องวัฒนธรรมไม่มีใครโค่นไทยลงได้ แต่หากเราไม่ศึกษาและพยายามทำความเข้าใจรากเหง้าของตัวเอง สุดท้ายเราอาจกลายเป็นผู้ทำลายทุนวัฒนธรรมที่มีคุณค่าเหล่านี้เสียเอง ดังนั้นการขับเคลื่อนทุนวัฒนธรรมจำเป็นต้องอาศัยความมีส่วนร่วมดังเช่นหลัก “บวร” บ้าน วัด โรงเรียน และชุมชน ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายที่สำคัญคือการทำให้เด็กไทยและคนไทยมีความแข็งแกร่งทางด้านวัฒนธรรมมากขึ้น เราจึงตีความคำว่า “บวร” คือสถาบันการศึกษา ซึ่งหน่วย บพท. ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยจำนวนมากเพราะเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ และต้องการเข้ามามีส่วนร่วม (Contribution) สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การจัดการทุนวัฒนธรรม” นอกจากนั้น ในหนังสือเล่มนี้ยังมีส่วนของ “Methodology” ที่ว่าด้วยเรื่องการเข้าถึงด้วยกระบวนการวิจัยเชิงพื้นที่ของ ABC ซึ่งเป็นอีกหนึ่งงานภายใต้การสนับสนุนของหน่วย บพท. แม้ส่วนนี้จะค่อนข้างยาก แต่เชื่อว่าจะช่วยให้คนทำงานเข้าใจความหมายของคำว่า ‘กลไกความยั่งยืน’ ได้ตั้งแต่วันแรกของการทำเรื่องนี้

“สิ่งนี้เป็นเอกลักษณ์ของหน่วย บพท. ที่สามารถทำให้เกิดความยั่งยืนได้ด้วยกลไกที่เป็นของคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายสำหรับนักวิชาการที่อาจไม่มีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับชุมชนชาวบ้าน ซึ่งต้องเข้าไปทำหน้าที่ ‘ปูเสื่อการทำงาน’ และทำให้กลไกการจัดการในพื้นที่เกิดขึ้นมาได้อย่างเป็นรูปธรรม ค่อย ๆ เชื่อมโยงผู้คนเข้ามา ผ่านการสร้างพลังร่วมและก่อรูปออกมาเป็นกลไกจัดการใหม่ที่ยั่งยืน ดังนั้นส่วนนี้ในหนังสืออาจต้องอ่านหลายรอบเพื่อทำความเข้าใจ แต่จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การจัดการทุนวัฒนธรรมที่ท่านกำลังทำอยู่เกิดความยั่งยืนได้”

ทั้งนี้ ดร.ธนภณ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากประสบการณ์ทำงานร่วมกับหน่วย บพท. และมหาวิทยาลัยหลายแห่ง พบว่า หลุมพรางด่านหนึ่งที่เรายังก้าวผ่านไปไม่ค่อยพ้นคือ การทำงานด้านทุนวัฒนธรรม เรามักจะเห็นปลายทางเป็นเรื่องของมูลค่า จึงอาจเผลอมองว่าทำง่าย ใช้ง่าย และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในโลกเข้ามาจับโดยที่ยังขาดความรู้ของพื้นที่ ขาดการศึกษาเชิงลึก ทำให้งาน ‘คุณค่า’ ทางวัฒนธรรมเหล่านี้เลือนหายไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งในวันหนึ่งหากคุณค่าหายไป มูลค่าก็จะเสื่อมลงเช่นกัน

“หนังสือเล่มนี้จึงมีเรื่องราวทุกด้านจากการศึกษาและเรียบเรียงอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการนำตัวเลขทางเศรษฐกิจ การใช้หลักวิทยาศาสตร์มาอธิบายทุนทางวัฒนธรรมเพื่อทำให้เห็นว่า “คุณค่า” มีความสำคัญมาก หากเราทำให้คุณค่าและมูลค่าเกิดความสมดุลระหว่างกันได้ การหยั่งรากลึกของทุนวัฒนธรรมไทยก็จะก้าวหน้าไปได้ไกลแบบไม่มีที่สิ้นสุด เพราะวัฒนธรรมไทยอยู่กับวิถีชีวิต อยู่กับผู้คน อยู่กับชุมชน อยู่กับทุกฤดูกาล และอยู่ทุกสถานการณ์ของคนไทย” ดร.ธนภณ กล่าว

ในท้ายที่สุด “การจัดการทุนวัฒนธรรมไทย ทฤษฎีและการปฏิบัติ” อาจเป็นหนังสือที่ช่วยให้ผู้อ่านได้เห็นวิธีคิด วิธีมองพื้นที่ และวิธีสร้างสรรค์พลังจากสิ่งที่มีอยู่แล้วนั่นก็คือ “ทุนทางวัฒนธรรม” และหนังสือเล่มนี้จึงเปรียบเสมือนคู่มือหรือเพื่อนคู่คิดของคนทำงานจริงในพื้นที่ ซึ่งอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากฐานราก ท่ามกลางความเปราะบางของสังคมไทยในทุกวันนี้ คำว่า “The Power of Culture” จึงไม่ใช่ถ้อยคำเชิงสัญลักษณ์ แต่คือความจริงที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และหนังสือเล่มนี้จะทำหน้าที่เป็นหนึ่งบทบันทึกที่พาให้ผู้อ่านเข้าใจว่า วัฒนธรรมไม่ใช่เรื่องของอดีต แต่ “วัฒนธรรมคือโอกาสสำหรับอนาคต”...