Health & Beauty

'หินปูนงอกเกาะกระดูกสันหลัง'ภัยเงียบ อันตรายอย่ามองข้ามปวดหลังธรรมดา



กรุงเทพฯ-"หินปูนงอกเกาะกระดูกสันหลัง" ภัยเงียบที่ทำลายชีวิตอย่ามองข้าม! อาการปวดหลังธรรมดา อาจเป็นสัญญาณ "หินปูนงอกเกาะกระดูกสันหลัง" ที่กำลังทำลายคุณ

นพ.ฐปนัตว์ จันทราภาส แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง ได้อธิบายว่า ภาวะ Bone Spurs หรือ Osteophytes นี้ เกิดขึ้นจากความเสื่อมของกระดูกที่ร่างกายพยายามซ่อมแซมตัวเองด้วยการดึงแคลเซียมมาเติมเต็ม แต่แทนที่จะซ่อมแซมให้กลับมาปกติ กลับกลายเป็นก้อนแข็งคล้ายหินงอกออกมาจากกระดูก ซึ่งก้อนหินปูนเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่หากไป กดทับเส้นประสาท หรือเนื้อเยื่อสำคัญต่างๆ ส่งผลให้เกิดอาการปวดร้าว ชา หรือแม้กระทั่งกล้ามเนื้ออ่อนแรง

สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม  ผู้ป่วยจำนวนมากมักเข้าใจผิดว่าอาการปวดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงกล้ามเนื้ออักเสบจากการทำงานหรือออกกำลังกายหนัก แต่หากอาการปวดนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการปวดร้าวลงแขนหรือขา มีอาการชา หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วย นี่คือสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าอาจมีการกดทับของเส้นประสาทแล้ว เนื่องจากหินปูนที่งอกออกมาไม่ได้มองเห็นได้จากภายนอก การวินิจฉัยที่แน่นอนจึงต้องอาศัยการตรวจด้วยภาพถ่ายทางการแพทย์ เช่น X-ray, CT Scan หรือ MRI เพื่อให้แพทย์มองเห็นความผิดปกติได้อย่างชัดเจน

กลุ่มเสี่ยงและแนวทางการรักษา ภาวะหินปูนเกาะกระดูกสามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มที่เสี่ยงเป็นพิเศษ ได้แก่ : ผู้สูงอายุ: โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน: ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงส่งผลต่อการกักเก็บแคลเซียมของกระดูก คนวัยทำงาน: ผู้ที่นั่งทำงานเป็นเวลานาน ไม่ค่อยเคลื่อนไหว นักกีฬา: ผู้ที่ใช้งานร่างกายหนัก หรือข้อต่อต้องรับแรงกระแทกซ้ำๆ

สำหรับแนวทางการรักษา นพ. ฐปนัตว์ได้กล่าวว่าในระยะเริ่มต้น อาจใช้การรักษาด้วยยาและกายภาพบำบัดเพื่อบรรเทาอาการ แต่หากมีการกดทับเส้นประสาทอย่างชัดเจน การผ่าตัดถือเป็นวิธีที่ตรงจุดที่สุด ปัจจุบัน โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ มีการนำเทคโนโลยีการผ่าตัดส่องกล้อง (Minimally Invasive Surgery: MIS) มาใช้ ซึ่งมีข้อดีคือแผลผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 0.5 เซนติเมตร ทำให้ผู้ป่วยเสียเลือดน้อย เจ็บตัวน้อย และฟื้นตัวได้เร็ว

การป้องกันและดูแลสุขภาพกระดูกแม้ภาวะหินปูนงอกเกาะกระดูก จะเกี่ยวข้องกับความเสื่อมตามวัย แต่เราสามารถป้องกันและชะลอการเกิดได้ด้วยการดูแลสุขภาพกระดูกตั้งแต่เนิ่นๆ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง: โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กและวัยทำงาน เพื่อสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่มีแรงกดต่อกระดูก เช่น การเดิน วิ่ง หรือยกน้ำหนักเบาๆ ปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน: ปรับท่าทางการทำงาน ไม่ก้มหรือยกของผิดท่า และไม่นั่งนิ่งเป็นเวลานาน ตรวจสุขภาพกระดูกเป็นประจำ: โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและผู้สูงอายุ

การตระหนักถึงภัยเงียบนี้และเข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขอีกครั้ง