In News

ไทยยึด4เงื่อนไขGBCแก้ปัญหาชายแดน ยันเขมรบุกรุกต้องออก/เร่งสอบปล้นทอง



กรุงเทพฯ-นายกรัฐมนตรีเผย ไทยยึดหลักเงื่อนไข GBC แก้ไขปัญหาชายแดน สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินงาน ขอไม่ลงรายละเอียด เนื่องจากอาจทำให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนและดูแลความปลอดภัยของประชาชน เหตุปล้นร้านทองที่สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส

วันนี้ (7 ตุลาคม 2568) เวลา 12.35 น. ณ บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความคืบหน้าในการบริหารจัดการสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชาว่า ขณะนี้ได้มีการประชุมหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประเทศไทยได้ดำเนินการตามข้อตกลงที่ได้กำหนดไว้ โดยมีหลักสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ การถอนอาวุธ การถอนกำลัง สแกมเมอร์ และการบริหารจัดการสถานการณ์ชายแดนให้เรียบร้อย ทั้งนี้ ประเด็นการบริหารจัดการชายแดน ยืนยันชัดเจนว่าพื้นที่ใดอยู่ในเขตอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย ทางกัมพูชาจะต้องเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่

“คนไทยทุกคนต้องได้รับความยุติธรรม ส่วนผู้ที่เข้ามารุกล้ำพื้นที่ประเทศไทยถือเป็นการบุกรุก จำเป็นต้องออกจากพื้นที่ตามกฎหมาย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ในฐานะผู้นำของประเทศไม่สามารถให้รายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินงานได้ เนื่องจากได้มอบหมายอำนาจหน้าที่ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงไปดำเนินการแล้ว หากแสดงความเห็นมากเกินไปอาจทำให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีเหตุปล้นร้านทองที่สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ว่าได้รับรายงานเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย่างรอบคอบ ควบคู่ไปกับการดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความมั่นใจว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจังและไม่ละเลยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ผบ.ตร.สั่งเร่งล่าคนร้ายปล้นร้านทองสุไหงโก-ลก 

จากกรณีเกิดเหตุ คนร้ายบุกปล้นร้านทองกลางห้างบิ๊กซี อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 5 ตุลาคม 2568 เวลาประมาณ 18.30 น.โดยมีคนร้ายประมาณ 10 คน ใช้รถยนต์กระบะ 2 คัน ได้แก่  - รถกระบะหมายเลขทะเบียน กด 6521 นราธิวาส -รถกระบะหมายเลขทะเบียน บท 7187 ปัตตานี คนร้ายแต่งกายชุดสีดำ บุกเข้าไปภายในห้าง ใช้อาวุธควบคุมตัวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ก่อนปล้นร้านทอง “เยาวราชกรุงเทพ” ได้ทองคำไปจำนวนหนึ่ง เบื้องต้นคาดว่าประมาณ 600 บาททองคำ

ระหว่างหลบหนี คนร้ายได้โปรย ตะปูเรือใบ ตามเส้นทางเพื่อสกัดการติดตามของเจ้าหน้าที่ และมีรายงานพบ การลอบวางวัตถุต้องสงสัยและเสียงระเบิด ในพื้นที่ติดต่อระหว่างอำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอสุไหงปาดี ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 5 กิโลเมตร

ขณะนี้ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้สั่งการให้ตำรวจทุกหน่วยในพื้นที่เร่งระดมกำลัง ไล่ติดตามเส้นทางหลบหนีของคนร้าย พร้อมประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) และฝ่ายความมั่นคง เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุและพื้นที่โดยรอบ เพื่อเร่งติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ / โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดเผยว่า“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้รับรายงานเหตุแล้ว และได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 9 เร่งคลี่คลายคดีนี้โดยเร็วที่สุด พร้อมกดดันพื้นที่อย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้คนร้ายหลบหนีออกนอกพื้นที่ได้ รวมทั้งประสานทุกฝ่ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อร่วมกันติดตามและปิดล้อมตรวจค้นอย่างใกล้ชิด”

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า“ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังได้กำชับให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ยกระดับมาตรการป้องกันเหตุซ้ำ โดยให้ตรวจสอบระบบความปลอดภัยของผู้ประกอบการร้านทอง ร้านค้า และพื้นที่อ่อนไหวอื่น ๆ ให้มีระบบป้องกันตนเองที่รัดกุมมากขึ้น เช่น ระบบกล้องวงจรปิดที่เชื่อมโยงกับตำรวจ ระบบสัญญาณแจ้งเหตุฉุกเฉิน และช่องทางสื่อสารระหว่างผู้ประกอบการกับตำรวจในพื้นที่ เพื่อให้สามารถแจ้งเหตุได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน”

“พร้อมกันนี้ ได้สั่งให้หน่วยที่เกี่ยวข้องพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของ ระบบแจ้งเหตุของผู้ประสบเหตุ ผู้เสียหาย และหน่วยงานภาคีเครือข่าย เพื่อให้การรับแจ้งและตอบสนองเหตุมีความรวดเร็ว ลดความเสียหาย และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น”

ล่าสุดพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เรียกประชุมด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ทั้งส่วนกลางและพื้นที่ เพื่อกำหนดแนวทางการสืบสวนติดตามคนร้ายอย่างเร่งด่วน พร้อมสั่งประเมินมาตรการด้านความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้า ร้านทอง และสถานประกอบการสำคัญทั่วประเทศ เพื่อ ยกระดับมาตรการป้องกันเหตุซ้ำ และยืนยันว่าตำรวจจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้ก่อเหตุทุกราย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือประชาชน หากพบเห็นบุคคลหรือยานพาหนะต้องสงสัยที่ตรงกับลักษณะตามรายงาน ให้รีบแจ้งข้อมูลมายังสายด่วน 191 หรือสถานีตำรวจใกล้บ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง