In News
นายกฯยันหลักนิติธรรมต้นทุนเชื่อมั่นศก. เดินหน้า3วาระสำคัญก้าวสู่สมาชิกOECD
กรุงเทพฯ-นายกฯ อนุทิน ย้ำ “หลักนิติธรรม” คือเสาเข็มของสังคมและต้นทุนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมประกาศเดินหน้า 3 วาระสำคัญ วาง Roadmap เตรียมความพร้อมสู่การเป็นสมาชิก OECD ปลดล็อกคอร์รัปชัน และมุ่งสร้างวัฒนธรรมแห่งความเป็นธรรม การมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยอย่างยั่งยืน
วันนี้ (วันพุธที่ 8 ตุลาคม 2568) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม Conference Hall ชั้น 2 สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในเวที “The Rule of Law Forum ครั้งที่ 3” โดยงานจัดภายใต้หัวข้อ “การฟื้นฟูโครงสร้างเชิงระบบและหลักนิติธรรม เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Institutional Readiness for Thailand’s Competitiveness) ซึ่งจัดโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ร่วมกับ The World Justice Project (WJP) และสำนักข่าว The Standard
โอกาสนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการ TIJ กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีได้ให้เกียรติมาร่วมงานด้วยตัวเอง สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอนุทินให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรม นอกจากนี้ ดร. Tatyana Teplova หัวหน้าที่ปรึกษาอาวุโสด้านความยุติธรรมจาก OECD และนาย Mark Lewis หัวหน้าฝ่ายความร่วมมือภาครัฐจาก WJP ก็ได้กล่าวรายงานสะท้อนความสำคัญของเวทีนี้ที่เป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนมุมมองด้านหลักนิติธรรม ในฐานะกลไกสำคัญต่อการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยงานนี้มีเครือข่ายผู้บริหารหน่วยงานด้านหลักนิติธรรมและการพัฒนาจากทางภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ภาคเอกชน ภาควิชาการ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และประชาชนที่สนใจ เข้าร่วมงานประมาณ 200 คน
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “หลักนิติธรรม: วาระแห่งชาติเพื่อความสามารถในการแข่งขันของไทย” โดยย้ำว่า “หลักนิติธรรม” เป็นคำที่ถูกอ้างถึงบ่อยแต่กลับมีผู้นำไปใช้ผิดเช่นกัน พร้อมยืนยันว่าได้ยึดถือในหลักนิติธรรมและนำหลักธรรมไปใช้ประกอบในการใช้ชีวิตตั้งแต่สมัยประกอบธุรกิจ จนกระทั่งมาสู่การเป็นนักการเมืองและนายกรัฐมนตรีในที่สุด
นายกรัฐมนตรีได้เปรียบ “ความยุติธรรม” เสมือน “เสาเข็ม“ ของทุกสังคมที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ และความยุติธรรมต้องเป็นของทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่ถูกจำกัดไว้เฉพาะกลุ่มคนบางกลุ่ม (Justice for all, not justice for some) รวมทั้งไม่มีประเทศใดในโลกจะแข่งขันได้อย่างยั่งยืน หากขาดหลักนิติธรรมที่มั่นคง และการสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแรงต้องอาศัยกฎหมายที่มั่นคง แน่นอน คาดเดาได้ และต้องมีความไว้วางใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชน พร้อมระบุว่า หลักนิติธรรมไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่คือ “วัฒนธรรมแห่งความเป็นธรรม” ที่ต้องปลูกฝังให้หยั่งรากในทุกระดับของสังคม เพื่อให้มีทั้งกฎหมายที่เป็นธรรมและมีระบบที่ทุกคนเชื่อมั่น และยืนหยัดบนความถูกต้อง
นายกรัฐมนตรียังชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม มีความเหลื่อมล้ำ ขาดเสถียรภาพของระบบการเมือง และปัญหากลไกการปกครอง ซึ่งมีรากเหง้ามาจากความอ่อนแอของโครงสร้างทางกฎหมายและวัฒนธรรมที่ไม่เอื้อต่อความเป็นธรรม หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงต้องยึดหลักนิติธรรมอย่างเข้มแข็ง มีความกล้าหาญบังคับใช้กฎหมายเพื่อความถูกต้อง เที่ยงธรรม และไม่ยอมให้กระบวนการยุติธรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง กลั่นแกล้ง กดดัน และข่มขู่
พร้อมเน้นย้ำว่า รัฐบาลได้บรรจุในคำแถลงนโยบายให้ถือว่าการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ทางการเมืองหรือการละเว้นการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานรัฐ ในการดำเนินการป้องกันปราบปรามยาเสพติด บ่อนการพนัน การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยไซเบอร์ การสร้างข่าวปลอมการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ ถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรงและต้องดำเนินคดีอาญาอย่างเด็ดขาด เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนต่างประเทศ
“หลักนิติธรรมคือ ต้นทุนของความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลมีแผนดำเนินการเพื่อนำไปสู่เส้นทางของการเป็นสมาชิก OECD ที่ต้องมีมาตรฐาน มีธรรมาภิบาล มีหลักนิติธรรม ผ่านการดำเนินการใน 3 วาระสำคัญได้แก่
(1) การวาง Roadmap ด้านหลักนิติธรรมเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นสมาชิก OECD ปักหมุดแผนการยกระดับมาตรฐานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
(2) การปลดล็อกคอร์รัปชันและปฏิรูปกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และที่สำคัญป้องกัน ช่องโหว่ทางกฎหมายหรือกลไกที่ไม่โปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิด “ธุรกิจสีเทา” และให้ธุรกิจสุจริตสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม และได้รับการสนับสนุนอย่างแท้จริง และ
(3) การสร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน ด้วยการยกระดับ Open Government ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ อย่างโปร่งใสและเข้าถึงได้จริง เพื่อให้ประชาชน ติดตาม ตรวจสอบ และ สะท้อนความคิดเห็นต่อการทำงานของรัฐได้อย่างเป็นระบบ และรัฐจะต้องมีองค์กรที่รับฟังความคิดเห็นเหล่านี้ได้
ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญคือ “การสร้างระบบนิเวศของความโปร่งใส“ ทุกการตัดสินใจจะต้องถูกตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนการใช้งบประมาณ และการดำเนินนโยบาย จะต้องเปิดเผยและเปิดโอกาสให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
นายกรัฐมนตรีกล่าวปิดปาฐกถาพิเศษว่า การฟื้นฟูหลักนิติธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเริ่มต้นในวันนี้ จะเป็น “จุดเปลี่ยนผ่านของประเทศ” ที่วางรากฐานให้รัฐบาลชุดต่อไปสานต่อได้อย่างยั่งยืน สามารถไปยืนได้บนเวทีโลก พร้อมขอบคุณ World Justice Project และ OECD รวมทั้งทุกคนที่มีส่วนร่วมในการจัดงานวันนี้เพื่อสนับสนุนการยกระดับ “หลักนิติธรรม” เป็นวาระแห่งชาติเพื่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพื่อสังคมที่มีความปกติสุขและยั่งยืนต่อไป
