In News

3เสาหลักภาคธุรกิจมองภาพศก.ในปีหน้า เชื่อเศรษฐกิจขยายตัวแต่รั้งท้ายอาเซียน



กรุงเทพฯ-ในการจัดงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 “THE FUTURE DIRECTION OF THAILAND” : เมื่อโลกเปลี่ยน..ประเทศไทยไปทางไหน จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ โดยเชิญแกนนำด้านเศรษฐกิจ ทั้งสภาหอการค้าฯ-สภาอุตสาหกรรม-สมาคมธนาคารไทยร่วมมองทิ.ทางเศรษฐกิจ  "พจน์"ยังเชื่อว่า ส่งออกขยายตัวได้ 2-2.5% ขณะที่ "เกรียงไกร" คาดเศรษฐกิจในปี2569 ขยายตัวเพิ่มได้เล็กน้อยแค่ 2% ขณะที่ "ผยง"คาดอีก5ปีข้างหน้าเศรษฐกิจไทยจะขยายอยู่แค่ 2.7% ต่ำสุดในอาเซียน

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ เวลา 15.00 น. นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย, นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และนายเกรียงไกร เชียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมสัมมนา หัวข้อ “พลิกเกมรู้เศรษฐกิจโลกป่วน” ในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 “THE FUTURE DIRECTION OF THAILAND” : เมื่อโลกเปลี่ยน..ประเทศไทยไปทางไหน จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2568 ที่ประชุมได้ประเมินอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2568 ไว้ในกรอบ 1.8-2.2% โดยคาดว่าการส่งออกจะขยายตัว ราว 2-2.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.5%

อย่างไรก็ตาม จากสัญญาณเศรษฐกิจล่าสุด หอการค้าไทยคาดว่าการส่งออกของไทยอาจขยายตัวได้ดีกว่าประมาณการเดิม โดยมีแนวโน้มโตถึง 5% ซึ่งหากเป็นไปตามคาด จะส่งผลให้จีดีพีปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปี 2568 ทั้งนี้ การประเมินตัวเลขอย่างเป็นทางการอีกครั้งจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้

นายพจน์ กล่าวว่า สำหรับการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2569 ยังมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาหลายด้าน แต่เชื่อมั่นว่าการที่ประเทศมีรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย มีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ทำงานเต็มที่ รวมถึงมีทีมเศรษฐกิจที่มีผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้ามาร่วมด้วย จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดีขึ้นกว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้ เนื่องจากรัฐบาลรักษาการมีอำนาจในการทำงานจำกัด “ต้องขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญและรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง หลายนโยบายที่ออกมาในระยะสั้นถือว่าตอบโจทย์สถานการณ์ได้ดี” นายพจน์กล่าว

นายพจน์ กล่าวว่า ในปี 2569 ทางหอการค้าไทยยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยมองว่าการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ จะกลับมาในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งได้ หากการเจรจาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงทางการค้าเสร็จสิ้นลง ซึ่งขณะนี้ยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ เนื่องจากยังไม่ได้มีการลงนามในตัวบทข้อตกลง บันทึกความเข้าใจ (MOA) ด้านการค้าไทย-สหรัฐฯ หากข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะเป็นแรงส่งให้การส่งออกไทยไปตลาดสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวใกล้ระดับปกติ และการกำหนดสัดส่วนปริมาณการใช้วัตถุดิบในประเทศ/ภูมิภาค (RVC – Regional Value Content) ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

นายพจน์ กล่าวต่อว่า ส่วน การเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรปจะสามารถหาข้อสรุปได้ภายในปลายปี 2568 นี้ถึงต้นปี 2569 แต่ขั้นตอนการให้สัตยาบันในสภาแต่ละประเทศสมาชิกอาจใช้เวลาพอสมควร ซึ่งหากประเทศไทยมีการยุบสภาตามโรดแม็ปทางการเมือง ก็อาจส่งผลต่อกระบวนการภายในของไทยได้เช่นกัน แต่ถ้าหาก FTA จบลงด้วยดี เชื่อว่าตัวเลขการส่งออกโดยรวมจะสามารถฟื้นตัวได้ตามเป้าหมายที่คาดไว้

นายพจน์ กล่าวว่า ด้านภาคการท่องเที่ยว มองว่าสัญญาณยังน่ากังวล โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ณ สิ้นเดือนสิงหาคมอยู่ที่ราว 1.5 ล้านคน ต่ำกว่าประมาณการที่คาดไว้ 3-4 ล้านคน และคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวรวมสิ้นปีอาจไม่มากกว่าปีที่แล้ว หรืออาจจะน้อยกว่าด้วยซ้ำ หากรัฐบาลไม่เร่งสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะการดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาอย่างเร่งด่วน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการคือการสร้างความเชื่อมั่น และดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งตัวเลขหายไปมากที่สุด จึงเสนอให้รัฐบาล เจรจาหารือกับทางจีนอย่างจริงจัง เพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลับมาในช่วงฤดูท่องเที่ยวของชาวจีน (ตุลาคม-มีนาคม) ซึ่งหากกลับมาได้เพียงบางส่วนก็จะช่วยพยุงเศรษฐกิจและกระตุ้นรายได้ท่องเที่ยวปลายปีนี้ได้มาก

นายพจน์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ในส่วนของการลงทุนภาครัฐ หอการค้าไทยได้เสนอให้รัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้รวดเร็ว เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและการจ้างงานในภูมิภาค

นายพจน์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดในระยะต่อไปคือการ “ปลดล็อก (Unlock)” และ “ทรานส์ฟอร์ม (Transform)” ประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพแข่งขันในโลกยุคใหม่ เริ่มที่ต้องปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมายและระเบียบราชการที่ล้าสมัย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการค้า การลงทุน และนวัตกรรม จากนั้นต้องทรานส์ฟอร์มโครงสร้างเศรษฐกิจให้สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านใหญ่ของโลก ทั้งด้านเทคโนโลยี AI พลังงาน และการค้าโลก

นายพจน์ กล่าวว่า นอกจากนี้ การปลดล็อกกำลังซื้อของประชาชนและธุรกิจฐานราก ด้วยการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เป็นเรื่องที่จำเป็น และส่งเสริมระบบการเงินที่โปร่งใส รวมถึงเร่งรัดการเจรจาข้อตกลงทางการค้าต่างๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ

นายพจน์ กล่าวว่า การทุจริตคอร์รัปชันคือ “มะเร็งร้าย” ของประเทศ ที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการขับเคลื่อนของคนไทยเอง ดังนั้น การต่อสู้กับคอร์รัปชันจึงต้องเป็นภารกิจร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งนี้ ตนอยากฝากข้อเสนอถึงทุกพรรคการเมืองว่า หากมีการเลือกตั้งครั้งหน้า อยากเห็นพรรคการเมืองประกาศ “Zero Corruption” เป็นนโยบายระดับชาติ เพราะเชื่อว่าหากพรรคไหนให้ความสำคัญและประกาศเดินหน้านโยบาย zero corruption ก็จะได้รับเสียงสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชน อย่างท่วมท้น เนื่องจากคอร์รัปชั่นคือมะเร็งร้ายที่ต้องกำจัดโดยทันที

นายเกรียงไกร เชียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาในแต่ละไตรมาส โดยไตรมาส 1 ประเทศทำได้ดีที่ 3.2% และไตรมาส 2 อยู่ที่ 2.8% ส่งผลให้ภาพรวมครึ่งปีแรกมีอัตราเติบโตเฉลี่ยราว 3% แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในครึ่งปีหลังของ 2568 ถูกประเมินว่าอ่อนลง โดยคาดว่า ไตรมาส 3 จะขยายตัวราว 1.7% ขณะที่ไตรมาส 4 อาจชะลอลงต่ำเหลือราว 0.3% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต้องจับตา ฉะนั้นหากวิเคราะห์ตัวเลขประมาณจีดีพีทั้งหมดของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำหรับปี 2568 นี้จะอยู่ในกรอบ 1.8-2.2%

นายเกรียงไกร กล่าวว่า สำหรับปี 2569 ผลจะออกมาเป็นอย่างไรนั้น หาก ธนาคารโลกและหน่วยงานระหว่างประเทศบางแห่งได้ปรับประมาณการภูมิภาคเอเชียให้ดีขึ้น ก็จะส่งผลให้คาดว่าไทยอาจมีการขยายตัวที่ดีขึ้นเล็กน้อยในปี 2569 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอาจจะขยายตัวดีขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ประมาณ 2% แต่ยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างประเทศหลายประการ

นายเกรียงไกร กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวสูง โดยตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา รายได้จากการท่องเที่ยวต่างชาติ ต่ำกว่าเป้าหมาย และต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึงกว่า 7% โดยมีรายได้เข้าประเทศเพียงประมาณ 1.1 ล้านล้านบาทเศษ เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าที่ ททท. เคยตั้งเป้าเดิมว่าในปี 2568 นี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 40 ล้านคน (เท่ากับก่อนโควิด-19) และสร้างรายได้กว่า 2 ล้านล้านบาท ดังนั้น อีก 3 เดือนสุดท้ายปัญหาสำคัญคือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินไป ซึ่งทำให้ราคาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของไทยสูงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ยกตัวอย่างประเทศ ล่าสุดตนได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าอย่างมาก ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมาก รวมถึงคนไทยแห่เดินทางไปจับจ่ายใช้สอย

นายเกรียงไกร กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม หลังจากการส่งสัญญาณของ กกร. และการเข้ารับตำแหน่งของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ค่าเงินบาทก็เริ่มอ่อนค่าลง จากที่เคยแข็งค่า 7% กว่า เมื่อเทียบกับวันที่ส่งสัญญาณ ตอนนี้ลดเหลือประมาณ 5% กว่า ซึ่งถือเป็นทิศทางที่ดีขึ้น

นายเกรียงไกร กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมตระหนักดีว่าการดำเนินธุรกิจแบบเดิมๆ ด้วยการเน้นที่ค่าแรงราคาถูกและการรับจ้างผลิต (OEM) จะทำให้ไทยไม่สามารถหลุดพ้นจาก กับดักรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้น เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ไทยต้องเดินหน้าสู่การ “ปลดล็อก (unlock)” และ “ทรานส์ฟอร์ม (transform)” โครงสร้างเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม โดยระบุกรอบนโยบายสำคัญ 4 ข้อหรือ “4 Gold” ดังนี้

1.GO Digital & AI เร่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล รวมถึงการเร่ง Upskill/Reskill บุคลากรเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ในระยะยาว

2.GO Innovation ต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมและปรับโมเดลธุรกิจใหม่ เพราะการเน้นค่าแรงและกำไรที่ต่ำจะทำให้ถึงเป้าหมายได้ช้า

3.GO Global ต้องแสวงหา ตลาดใหม่ และเร่งรัดการเจรจาข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) เพื่อขยายฐานการค้า

4.GO Green ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกติกาโลกใหม่ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และการตั้งเป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี 2050

นายเกรียงไกร กล่าวว่า นโยบาย 4 GO จะเป็นกรอบการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจใน ไตรมาส 4 ของปี 2568 นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะเป็น จุดตั้งต้น ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ประชาชน และนักลงทุนต่างประเทศ ต่อแนวทางและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ประกาศและกำลังจะเร่งดำเนินการ

นายผยง กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในระยะ 5 ปีข้างหน้า จากการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พบว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยเพียง 2.7% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มอาเซียนที่คาดว่าจะเติบโตได้ราว 4.5% สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่ดำเนินต่อเนื่องมาหลายปี

นายผยง กล่าวว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำ คือ การขาดความต้องการลงทุน ในประเทศ และการใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นที่อาจไม่ได้คำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาว โดยกว่า 65% ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีกำไรลดลง และสภาพคล่องส่วนเกินในระบบธนาคารพาณิชย์จำนวนสูงมากกว่า 5 ล้านล้านบาท โดยไม่ได้หมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจริง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสภาพคล่องเหล่านั้น ไม่ถูกนำไปหล่อเลี้ยงธุรกิจขนาดเล็ก (SME) รวมถึง สภาพคล่องในประเทศมีการ ไหลออกไปลงทุนในต่างประเทศ ผ่านกองทุนรวมเพื่อการลงทุนในต่างประเทศ (FIF) อย่างต่อเนื่องและมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก

นายผยง กล่าวว่า ดังนั้นจึงอยากเสนอว่า การแก้ปัญหาควรมุ่งเน้น 2 แนวทางหลัก ได้แก่ 1.การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการบริหารจัดการ 2.การพัฒนาเศรษฐกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน (Sustainability) โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) และการใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรม

นายผยง กล่าวว่า เพื่อผลักดันนโยบายสาธารณะให้ขับเคลื่อนบนฐานของ ความโปร่งใส (Transparency) และ ข้อมูล (Data) กกร. โดยความร่วมมือของ 3 สมาคม เตรียมที่จะริเริ่มและเปิดเผย 3 ดัชนีสำคัญ สู่สาธารณะ เพื่อเป็นเป้าหมายในการถกเถียงและผลักดันการปฏิรูปประเทศ

1. ตัวเลขเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy Index)

2. หนี้นอกระบบ (Informal Debt Index)

3. ดัชนีการทุจริตคอร์รัปชัน (Corruption Index)

นายผยง กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้การถกเถียงในวงสาธารณะอยู่บน ข้อเท็จจริง ไม่ใช่อารมณ์ และนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่ได้รับความเห็นชอบอย่างน้อย 70-80% รวมถึงการเร่งแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอยู่บนหลักการของหลักนิติธรรม และประสิทธิภาพของภาครัฐ เป็นพื้นฐานสำคัญ