In News
นายกฯอนุทินลุยน้ำตะพานหินสั่งช่วยปชช. เร่งหาทุกวิธีเพื่อเยียวยาผู้เดือดร้อน
กรุงเทพฯ-นายกฯ “อนุทิน” ลงพื้นที่ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร สั่งการช่วยเหลือประชาชนเป็นลำดับแรกก่อน หาทุกวิธีเพื่อเยียวยาพี่น้องประชาชนให้ได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุดพร้อมวางแผนบริหารจัดการสั้น-กลาง-ยาว ไม่ให้เกิดอีก
วันนี้ (10 ตุลาคม 2568) เวลา 13.30 น. ณ โรงเรียนเทศบาลตะพานหินวิทยาคาร อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พบปะประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่ โดยมีนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมด้วย
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงจุดลงเฮลิคอปเตอร์ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร จากนั้นเดินทางต่อไปยังโรงเรียนเทศบาลตะพานหินวิทยาคาร เพื่อพบปะประชาชนในพื้นที่จังหวัดพิจิตร โดยได้กล่าวให้กำลังใจประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยกว่า 1,200 คน
“วันนี้ตั้งใจเดินทางมาเยี่ยมและพบปะพี่น้องประชาชน ได้รับทราบว่าหลายพื้นที่ต้องเผชิญปัญหาน้ำท่วม แต่ขอให้พี่น้องประชาชนได้อดทนอีกนิดเพราะตอนนี้ช่วงปลายฝนแล้ว สถานการณ์กำลังจะดีขึ้น แต่ที่สำคัญคือ "รัฐบาลจะไม่เพิกเฉย และละเลย" โดยภายในสัปดาห์หน้า รัฐบาลจะอนุมัติเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม ครัวเรือนละ 9,000 บาท”
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่ารัฐบาลจะเร่งเยียวยาและพยายามหาวิธีการช่วยเหลือ โดยได้มอบหมายให้รัฐมนตรีไปหาวิธีช่วยเหลือพี่น้องประชาชนร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยที่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นความผิดของรัฐบาลที่ไม่สามารถระบายน้ำให้ประชาชนได้ทัน ทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อน
“สำหรับที่อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ขอให้ไปลงทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอ ผู้ว่าฯ ต้องสั่งการให้รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยทำให้เกิดความมั่นใจว่า ประชาชนทุกคนได้ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เพื่อเงินจะได้ไปถึงพี่น้องประชาชน โดยมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นผู้ดำเนินการโอนเงินเยียวยาเข้าบัญชีของประชาชน ขอความร่วมมือทั้งสองฝ่าย”
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอให้ประชาชนทุกคนร่วมลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง พลัส เพื่อให้พี่น้องประชาชนนำเงินไปจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียน ไม่ใช่เงินเยียวยา ไม่ใช่เงินช่วยเหลือ เป็นเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต้องใช้จ่ายใช้สอย นอกจากนี้ ยังมีเงินช่วยเหลือเติมเข้าในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1,700 บาท ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณแล้ว ดังนั้น การจับจ่ายใช้สอยจะทำให้มีเม็ดเงินมาใช้ในซื้อของในช่วงสิ้นปีนี้ด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวฝากถึงพี่น้องอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ได้ให้การช่วยเหลือดูแลปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับพี่น้องประชาชนที่ประสบภาวะบ้านเรือนถูกน้ำท่วม
“ขอให้หมั่นไปดูแล ให้ความเข้าใจ และแจ้งไปยังสถานีอนามัยต่าง ๆ ซึ่งในช่วงที่น้ำท่วมต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะอาจจะเกิดกระแสไฟรั่ว และหากน้ำท่วมขังเป็นปริมาณมาก ขอให้ย้ายไปยังบ้านญาติหรือศูนย์พักพิงก่อน แล้วเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว จึงจะกลับไปที่บ้าน”
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ คือหน้าที่ของรัฐบาลในการบริหารจัดการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บางครั้งอาจจะเอาชนะภัยธรรมชาติไม่ได้แต่จะพยายามทำให้ความเดือดร้อนของประชาชนได้ลดลงให้มากที่สุด การทำให้ประชาชนไม่ลำบาก ด้วยการหามาตรการ หากลไก หาวิธี ที่จะทำให้ชื่อของประชาชนทุกครัวเรือนไปปรากฏที่ระบบ ปภ. ให้ได้ และสัปดาห์หน้าเมื่ออนุมัติเงินในระบบแล้ว เงินจะเข้าไปยังบัญชีพ่อแม่พี่น้องประชาชนทันที
“ขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาแผนฟื้นฟูปรับระบบระบายน้ำ ทั้งการเสริมถนน ทำโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้แข็งแรงกว่าเดิม เพื่อให้พิจิตรได้มีระบบจัดการน้ำที่ดีขึ้น หาทางที่จะผันน้ำไปสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด โดยจะมีแผนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวต่อไป แต่ขณะเดียวกัน หากเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก ก็ต้องให้ความช่วยเหลือประชาชนเป็นลำดับแรกก่อน และหาทุกวิธีเพื่อเยียวยาพี่น้องประชาชนให้ได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด”
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณส่วนราชการทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครทุกส่วน ที่ช่วยดูแลประชาชนเป็นอย่างดี จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้มอบถุงยังชีพให้แก่พี่น้องประชาชน พร้อมเดินทักทายประชาชนที่มารอภายในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเป็นกันเอง
จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทาง ไปยังโรงเรียนตะพานหิน จ.พิจิตร เพื่อขึ้น เฮลิคอปเตอร์เดินไปยังเขื่อนเจ้าพระยา ต.ตลุก อ.สรรพยา จ.ชัยนาท เพื่อเป็นประธานการประชุมสรุปสถานการณ์น้ำ และแผนบรรเทาอุทกภัย ลุ่มน้ำเจ้าพระยา พร้อมติดตามสถานการณ์น้ำบริเวณประตูเขื่อนระบายน้ำ
