In News

นายกฯอนุทินชี้พร้อมหนุนให้ประเทศไทย เป็น'health hub of the world'



กรุงเทพฯ-นายกฯ อนุทิน ปาฐกถาหัวข้อ “ธรรมาภิบาลทางการแพทย์กับการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน”พร้อมสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็น “health hub of the world”

วันนี้ (19 ตุลาคม 2568) 08.30 น. ณ ห้อง World Ballroom ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ธรรมาภิบาลทางการแพทย์กับการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน” ในการสัมมนาวิชาการแพทยสภาและสถาบันมหิตลาธิเบศร 2568  พร้อมพิธีมอบเกียรติบัตร เข็มเกียรติคุณ และโล่เกียรติคุณ แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์สำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 11 (ปธพ.11) และ หลักสูตรประกาศนียบัตรผู้นำทางการแพทย์ รุ่นที่ 2 (ปนพ.2) โดยมี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมทั้งศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี และประธานมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ พลอากาศเอก นายแพทย์อิทธิพร คณะเจริญ ผู้อำนวยการสถาบันมหิตลาธิเบศร  ศาสตราจารย์เกียรติคุณสมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา พร้อมทั้งคณะกรรมการมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ คณะกรรมการแพทยสภา คณะกรรมการสถาบันมหิตลาธิเบศร นักศึกษา ปธพ. รุ่น 1-12 และ นักศึกษา ปนพ. รุ่น 1-2 ผู้บริหารภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณสุข เข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า โอกาสนี้ ประธานมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ มอบโล่เกียรติยศ ปธพ. ให้กับนายกรัฐมนตรี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ด้วย

จากนั้นนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ธรรมาภิบาลทางการแพทย์กับการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน” โดยได้แสดงความยินดีกับนักศึกษาที่สำเร็จหลักสูตร ปธพ.11 และ ปนพ.2  พร้อมชื่นชมและขอบคุณแพทยสภาและสถาบันมหิตลาธิเบศร ที่ได้จัดเวทีอันทรงคุณค่านี้และเชิญนายกรัฐมนตรีมาร่วมงานด้วย โดยในฐานะศิษย์เก่า ปธพ. รุ่นที่ 5 รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับบ้านได้เจอครูบาอาจารย์และเพื่อนร่วมรุ่นอีกหลายท่าน และขอขอบคุณสำหรับการมอบโล่เกียรติยศให้กับตนเองในวันนี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการได้นำความรู้ ประสบการณ์ และเครือข่าย Network ที่ได้รับจากการได้เรียนหลักสูตร ปธพ. สามารถสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้อย่างมากมายมหาศาล ทั้งด้านการสาธารณสุข การแพทย์ และเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเมื่อครั้งที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำความรู้และเครือข่ายดังกล่าวมาใช้การแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 จัดสถานที่สำหรับฉีดวัคซีน การตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิดฯ เช่น โรงพยาบาลบุษราคัม ที่อิมแพคเมืองทองธานี ก่อนมีการขยายไปสู่โรงพยาบาลสนามอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างๆ สำหรับดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิดฯ ด้วย จากความร่วมมือของบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทุกภาคส่วน และการดำเนินการสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ประเทศไทยสามารถผ่านพ้นช่วงสถานการณ์โควิดฯ มาได้ด้วยดี จนนานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่งให้การชื่นชมระบบสาธารณของสุขไทยอย่างมาก สิ่งเหล่านี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ระบบสุขภาพไทยเป็นระบบที่เชื่อถือได้อย่างมาก มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้

นายกรัฐมนตรีแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ และ สปสช. ในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในการทำงาน การพัฒนาบุคลากรและพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม  เช่น การใช้เทคโนโลยี AI ช่วยวินิจฉัยโรคและรักษาโรคต่าง ๆ เป็นต้น พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีย้ำถึงการที่รัฐบาลต้องมีการจัดเตรียมงบประมาณไว้สำหรับดูแลคุณภาพชีวิตของคนไทย รวมถึงรองรับสังคมสูงวัย หรือ Aging society ให้สามารถดูแลตนเองได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน ตลอดจนการดูแลกลุ่มคนสูงวัยและประชาชนที่มีความเจ็บป่วย ให้ทุกคนได้เข้าถึงคุณภาพของการรักษาพยาบาลและคุณภาพของยาอย่างถ้วนหน้า รวมทั้งการเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายการรักษาพยาบาลเรื่องฟอกไตฟรี เพื่อให้คนไทยได้รักษาฟรีและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ขณะเดียวกันในส่วนของภาคเอกชนนั้น นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการที่จะทำให้ประเทศไทยเป็น “health hub of the world” โดยได้กล่าวขอบคุณสำหรับเกียรติยศที่มอบให้ในวันนี้ พร้อมที่จะดำเนินการทุกอย่างเพื่อทำให้ศักยภาพของประเทศไทยก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไป

สำหรับการสัมมนาวิชาการฯ ครั้งนี้ จัดขึ้นโดยมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ แพทยสภา และสถาบันมหิตลาธิเบศร มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาวิจัย พัฒนาองค์ความรู้และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาระบบการแพทย์และสาธารณสุข ตลอดจนการดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างธรรมาภิบาลทางการแพทย์ โดยมีการนำเสนอเอกสารวิชาการ และนิทรรศการผลงานวิชาการ ตลอดจนการแถลงผลการวิจัยของนักศึกษาหลักสูตร ปธพ. รุ่นที่ 11 ใน 4 ประเด็น ได้แก่ จริยธรรม กฎหมาย และสิทธิผู้ป่วย, การพัฒนานโยบายและระบบสุขภาพ, ระบบบริการสุขภาพและการเข้าถึง (การเข้าถึงฯ เชิงรุก) และนวัตกรรมและอนาคตสุขภาพ และหลักสูตร ปนพ.รุ่นที่ 2 ใน 2 ประเด็น ได้แก่ การพัฒนารูปแบบการให้บริการภาคเอกชนในกลุ่มผู้ป่วยฟื้นฟูสมรรถภาพระยะกลาง และการจัดการข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลบนระบบแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของคนไทย (Health Link) ในปัจจุบันและอีก 5 ปี ข้างหน้า โดยนักศึกษาทั้ง 2 หลักสูตรได้รับประกาศนียบัตรและโล่เรียนดีในการสำเร็จการศึกษาในครั้งนี้ด้วย