Biz news

PwCเตือนธุรกิจรับมือมาตรการตรวจสอบ ภาษีเข้มหลังปฏิรูปสู่สมาชิกOECD



กรุงเทพฯ, 22ตุลาคม 2568–PwC ประเทศไทยชี้แนวโน้มมาตรการด้านภาษีและศุลกากรของไทยจะเข้มข้นยิ่งขึ้นหลังหน่วยงานกำกับเร่งปฏิรูปกฎหมายครั้งใหญ่เพื่อเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD พร้อมเดินหน้านำเทคโนโลยีขั้นสูงและAI มาใช้เสริมศักยภาพการบริหารจัดการภาษีเต็มรูปแบบเพื่อสกัดทุกช่องทางการเลี่ยงภาษียุคใหม่

นาย นิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัยหุ้นส่วนและหัวหน้าสายงานกฎหมายและภาษี บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าว ณ งานสัมมนา “Maximising Shareholder Value” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนาประจำปี  “PwC Thailand’s Symposium 2025: From insight to action: Staying ahead of change” ว่าธุรกิจไทยจำเป็นที่จะต้องเตรียมรับมือการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีที่จะยิ่งเข้มข้นและการหลบเลี่ยงภาษีเป็นไปได้ยากมากขึ้นหลังในปีนี้ประเทศไทยได้ปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ในหลากหลายด้านเพื่อการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) โดยกรมสรรพากรไทยมีการปรับปรุงกฎหมายภาษีต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางภาษีโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญในการยกระดับระบบภาษีให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของมาตรฐานภาษีโลกซึ่งเกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล การขยายตัวของกิจการข้ามชาติ และความต้องการความโปร่งใส ความเป็นธรรม รวมไปถึงประสิทธิผลของระบบภาษี ส่งผลให้กฎระเบียบด้านภาษีและศุลกากรของเรามีแนวโน้มที่จะยิ่งทวีความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล

นอกจากนี้ กรมสรรพากรได้มีการนำเทคโนโลยีใหม่มาพัฒนาระบบข้อมูลภาษีอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2569–2570 กรมสรรพากรมีแผน (roadmap) ที่จะออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นภาคบังคับสำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ภายใต้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการจัดเก็บภาษี การควบคุมและกำกับดูแล รวมถึงการตรวจสอบและการเร่งรัดการคืนภาษีให้เป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และรวดเร็วยิ่งขึ้นดังนั้น ผู้ประกอบการควรต้องเริ่มวางแผนและจัดหาระบบจัดเก็บข้อมูลและนำส่งภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้สรรพากรเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามข้อบังคับได้ทันเวลาที่กำหนด” นายนิพันธ์กล่าว

ทั้งนี้ ในปี 2568 ประเทศไทยได้ริเริ่มกระบวนการภาคยานุวัติ(Accession) ซึ่งกำหนดให้ต้องดำเนินการปรับปรุงนโยบายต่างๆให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ OECD ในหลายด้านเช่นด้านภาษีการค้าและการลงทุนตลอดจนมาตรการต่อต้านการทุจริตนอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงกฎหมายและระบบการกำกับดูแลให้ทันสมัยเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเกณฑ์มาตรฐานขั้นสูงของ OECD ได้อย่างสมบูรณ์เช่น การดำเนินการตามแนวทางภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) การปรับปรุงกฎระเบียบด้านราคาโอน (Transfer Pricing) และการเสริมสร้างประสิทธิภาพการบังคับใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นต้น

ยกระดับมาตรการและเทคโนโลยีด้านภาษีให้สอดรับกับยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

ในส่วนของการปฏิรูปภาษีและนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการตรวจสอบภาษีประเทศไทยยังได้ดำเนินการปรับปรุง VAT สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซและบริการดิจิทัลข้ามพรมแดน เช่น การยกเลิกการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มขั้นต่ำ (de minimis) สำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท และเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้ VAT ด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) โดยกรมสรรพากรได้ยุติการขยายกำหนดเวลาชำระภาษีชั่วคราวสำหรับผู้ลงทะเบียน e-Service ที่อยู่ต่างประเทศ โดยกำหนดให้การยื่นแบบและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นไปตามกรอบเวลาที่ชัดเจน พร้อมกำหนดบทลงโทษสำหรับการยื่นล่าช้า

ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ออกมาตรการส่งเริมและแรงจูงใจทางภาษีสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น การยกเว้นภาษีกำไรจากการขายสำหรับการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตในประเทศไทยเป็นระยะเวลา 5 ปีและการยกเว้น VAT พร้อมจัดเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% สำหรับรายได้บางประเภท เพื่อส่งเสริมตลาดและนวัตกรรมด้านบล็อกเชนภายใต้การกำกับดูแลตามมาตรฐานของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทาง