In News
ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี2568-2569 ปีนี้จีดีพี.โตได้2.4%แต่ในปี69ชะลอ2.0%
กรุงเทพฯ-เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.4 ปรับเพิ่มจากประมาณการครั้งก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายปีและการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องขณะที่ปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวชะลอลงที่ร้อยละ 2.0 เนื่องจากมีการเร่งส่งออกในปี 2568 อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ขยายตัวได้ดี
นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า “เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.4 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.9 ถึง 2.9) ปรับเพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.2 ต่อปี (ณ กรกฎาคม 2568) เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายปีที่คาดว่าจะกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้ขยายตัวได้ดีในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 และภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 3.0 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.5 ถึง 3.5) โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการ "คนละครึ่ง พลัส" ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 และมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 10.0 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 9.5 ถึง 10.5) จากการเร่งส่งออกของภาคเอกชนตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาเเละตลาดจีนในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 26.4 เเละ 10.8 ในสินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เเละผลิตภัณฑ์ยางเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ การบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 0.8 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.3 ถึง 1.3) การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 5.6 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 5.1 ถึง 6.1) และการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าขยายตัวที่ร้อยละ 1.7 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.2 ถึง 2.2)
ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ -0.2 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ-0.7 ถึง 0.3) ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากราคาพลังงานลดลงจากทั้งค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงตามนโยบายของภาครัฐและราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวลดลง สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะเกินดุล 20.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 3.5 ของ GDP
สำหรับในปี 2569 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวชะลอลงที่ร้อยละ 2.0 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.5 ถึง 2.5) เนื่องจากมีการเร่งส่งออกในปี 2568 เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐเป็นสำคัญ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะหดตัวที่ร้อยละ -1.5 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -2.0 ถึง -1.0) อย่างไรก็ดียังมีปัจจัยสนับสนุนมาจาก 1) ภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า จากความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ประกอบกับจะมีการจัดงานสำคัญต่าง ๆ เช่น งานมหกรรมพืชสวนโลกปี 2569 และการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank Group - WBG) ประจำปี 2) การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ดี โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.9 ถึง 2.9) และ 3) การลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.5 ถึง 3.5) จากการเร่งรัดการเบิกจ่ายและลงทุนของภาครัฐ
ขณะที่คาดว่าการบริโภคภาครัฐจะขยายตัวที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.1 ถึง 2.1) และการลงทุนภาคเอกชนคาดขยายตัวที่ร้อยละ 1.7 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.2 ถึง 2.2) ซึ่งช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย
ด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 0.5 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.0 ถึง 1.0) ตามทิศทางอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดี ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 2.5 ของ GDP (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.0 ถึง 3.0 ของ GDP)
โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงการคลังจะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายการคลังภายใต้แนวคิด “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” หรือ “Quick Big Win” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ดีขึ้นทั้งในระยะสั้นและยังคำนึงถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนในระยะยาว โดยกำหนดการดำเนินงานเป็น 5 เสาหลัก ประกอบด้วย 1) การกระตุ้นเศรษฐกิจ 2) การลดภาระประชาชน โดยเฉพาะการแก้หนี้เสียภาคครัวเรือน (NPL) 3) การส่งเสริมธุรกิจ SMEs 4) เพิ่มการออมภาคประชาชน และ 5) การลงทุนเพื่ออนาคต นอกจากนี้ ต้องวางรากฐานทางการคลังเพื่อสร้างความมั่นคง ยั่งยืน เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ยังควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด อาทิ 1) นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น 2) ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 3) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 4) ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชนและ SMEs และ 5) การย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ”
