In News

นายกฯตั้งคกก.ขับเคลื่อนคปถ.ไทย-เขมร ยันไม่เปิดด่านถ้ากัมพูชาไม่ทำตาม4ข้อ



กรุงเทพฯ-โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ตั้ง "คกก. ขับเคลื่อน" ตามถ้อยแถลงของนายกฯ ไทย-กัมพูชา (คปถ.) ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลไม่ยอมกัมพูชาและไม่ได้ลืมความเจ็บแค้น แต่ต้องเดินหน้าเพื่อคืนความสงบสุขคืนให้พี่น้องประชาชนพร้อมรักษาอธิปไตยทุกตาราง ซม. ทั้งยังไม่เปิดด่านจนกว่ากัมพูชาทำตามเงื่อนไข 4 ข้อ

เมื่อ3 พฤศจิกายน 2568 เวลา 13.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวร่วมกับนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ และพลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อรายงานความคืบหน้าผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีกัมพูชา (Joint Declaration) รวมถึงผลการประชุมที่เกี่ยวข้อง

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแถลงข่าวในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในทุกประเด็น โดยเฉพาะสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งรัฐบาลต้องการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน ทั้งนี้ ผู้ร่วมแถลง ได้แก่ โฆษกกระทรวงกลาโหม อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และโฆษกเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า เหตุการณ์ตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชาเริ่มต้นขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนที่ผ่านมา เมื่อเกิดกรณีรุกล้ำพื้นที่ชายแดนของฝ่ายกัมพูชา ต่อมาในวันที่ 18 และ 28 พฤษภาคม 2568 มีการเปิดฉากยิงตอบโต้ระหว่างสองฝ่าย และในวันที่ 23 กรกฎาคม มีกำลังพลไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะจากการเหยียบทุ่นระเบิดจำนวน 3 นาย จนในที่สุดวันที่ 24 กรกฎาคม กัมพูชาได้ยิงระเบิดตกลงในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวมถึงเด็กอายุ 8 ขวบ หลังจากนั้น มีการตอบโต้ระหว่างกันทำให้ไทยสูญเสียทหารไปนับ 10 ราย และบาดเจ็บ 666 คน

เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นความสูญเสียที่คนไทยทุกคนสะเทือนใจ และหนักหนาสาหัสสำหรับคนไทย ความเจ็บช้ำครั้งนี้เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าไทยมีความโกรธแค้นและมีความเสียใจในความสูญเสีย อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปะทะและสูญเสียทั้งสองฝ่าย แต่รัฐบาลจะต้องหาทางออกโดยสันติ เพื่อไม่ให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนต้องหวาดกลัวหรืออพยพอีกต่อไป

ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งลงนามโดยนายกรัฐมนตรีรักษาการขณะนั้น และได้เริ่มมีผู้สังเกตการณ์จากต่างประเทศเข้ามา คือ สหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย การดำเนินการระหว่างไทย-กัมพูชาจึงกลายเป็นเรื่องที่สังคมโลกจับตามอง  ซึ่งสองฝ่ายได้ยึดถือแนวทางสันติ และใช้กลไกทางการทูตในการแก้ไขข้อพิพาท

โฆษกรัฐบาลได้กล่าวต่อไปว่า “ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. จนถึงวันนี้ เป็นเวลา 96 วัน ที่ชาวบ้านตื่นมาเจอกับปืนใหญ่ เจอรถถัง แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือประเทศไทยและกัมพูชาเป็นประเทศที่มีพื้นที่ติดกัน เราไม่ได้ลืมความเจ็บแค้น แต่เมื่อมีพื้นที่ที่ติดกันและข้อเท็จจริงนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เราจึงต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อไม่ให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ต้องตื่นมาด้วยความหวาดกลัว รัฐบาลไม่อยากเห็นประชาชนอยู่ในความหวาดผวาว่า วันนี้ต้องอพยพหรือไม่ เชื่อว่าคนไทยทุกคนอยากเห็นคือการใช้ชีวิตของคนในประเทศไทยอย่างเป็นปกติสุขที่สุด โดยไม่สูญเสียดินแดน แม้แต่หนึ่งตารางเซนติเมตร”

จนมาในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนามใน “ถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration)” ที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีสหรัฐฯ และมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน เป็นการกำหนดกรอบการดำเนินงานร่วมกัน ทั้งในด้านความมั่นคง การกำหนดแนวเขตแดน และการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ

- ประเด็นด้านความมั่นคง
โอกาสนี้ พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึงประเด็นด้านความมั่นคง รวมถึงกรอบเจรจาทวิภาคีต่าง ๆ โดยกล่าวว่าความแตกต่างระหว่าง GBC (General Border Committee) และ JBC (Joint Boundary Commission) ว่า GBC เป็นการหารือในมิติความมั่นคง ครอบคลุมด้านทหาร ความสงบเรียบร้อย และเศรษฐกิจของประชาชน โดยมีกระทรวงมหาดไทยร่วมด้วย ส่วน JBC อยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงการต่างประเทศ มุ่งเน้นการสำรวจและกำหนดแนวเขตแดน ทั้งสองกลไกทำงานเชื่อมโยงกัน และเป็นฐานนำไปสู่การจัดทำ Joint Declaration

หลังการหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ได้มีการจัดประชุม GBC สมัยวิสามัญที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม เพื่อหารือเรื่องการยุติการใช้อาวุธทุกชนิด และวางกำลังอยู่ในที่ตั้ง รวมถึงการงดเว้นการใช้กำลังต่อพลเรือนโดยเด็ดขาด ต่อมาเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบกรอบแนวทางการถอนอาวุธหนักตามแผน 3 ระยะ ซึ่งครอบคลุมถึงการถอนจรวดหลายลำกล้อง ปืนใหญ่ และรถหุ้มเกราะทั้งหมดภายในสิ้นปี 2568 โดยมีกลุ่มผู้สังเกตการณ์จากอาเซียน (ASEAN Observer Team - AOT) ร่วมติดตาม

โฆษกกระทรวงกลาโหมยืนยันว่า การถอนกำลังดังกล่าวเป็นเพียงการถอนอาวุธหนัก ไม่ได้ลดกำลังทหารป้องกันชายแดนแต่อย่างใด กองทัพไทยยังคงปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเต็มกำลัง พร้อมระบุว่าการเจรจาและสันติวิธีคือแนวทางที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

- ประเด็นด้านต่างประเทศ
นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กล่าวถึงผลการประชุม JBC สมัยวิสามัญเมื่อวันที่ 21–22 ตุลาคม 2568 ที่จังหวัดจันทบุรี ว่ามีความคืบหน้า 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ (1) การซ่อมแซมและจัดทำหลักเขตแดนใหม่ทดแทนหลักเขตที่ชำรุด (2) การปรับปรุง TOR ปี 2003 เพื่อใช้เทคโนโลยี LiDAR ในการทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งจะเริ่มทดลองใช้ต้นเดือนธันวาคมนี้ และ (3) การเร่งสำรวจและวางหมุดชั่วคราวบริเวณหลักเขตแดนที่ 42–47 เพื่อจัดการปัญหาที่ดินของประชาชนในพื้นที่

ฝ่ายไทยได้เสนอร่างคำแนะนำทางเทคนิค (Technical Instruction: TI) สำหรับการวางหมุดชั่วคราวไปยังฝ่ายกัมพูชาแล้ว โดยคาดว่าจะได้รับคำตอบภายในวันที่ 14 พฤศจิกายน และเริ่มปฏิบัติการภายในวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้ นายเบญจมินทร์ย้ำว่า การวางหมุดชั่วคราวเป็นเพียงขั้นตอนทางเทคนิค ไม่กระทบต่อสิทธิในเขตแดนตามกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งสองฝ่ายตกลงจะจัดประชุม JBC ครั้งถัดไปในเดือนมกราคม 2569

- ประเด็นด้านการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์
พลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความร่วมมือในการปราบปรามขบวนการไซเบอร์สแกม ซึ่งพัฒนาเป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่มีฐานปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประสานงานใกล้ชิดเพื่อช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์และนำตัวกลับประเทศอย่างต่อเนื่อง ตลอดปีที่ผ่านมา มีการส่งตัวกลับรวมหลายร้อยราย จากผลการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับตำรวจของกัมพูชา

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาได้ลงนามแผนปฏิบัติการร่วมในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมีสาระสำคัญ 8 ข้อ ครอบคลุมตั้งแต่การแบ่งปันข่าวกรอง การแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ต้องสงสัย การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ไปจนถึงการประชุมติดตามผลร่วมปีละ 2 ครั้ง ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้ยกระดับการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์เป็น “วาระแห่งชาติ” และจัดตั้ง “ศูนย์วอร์รูม” เพื่อบูรณาการข้อมูลกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหายภายในเฉลี่ย 9 วัน ซึ่งขณะนี้สามารถคืนเงินแล้วกว่า 250 ล้านบาท

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ เน้นย้ำว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเดินหน้าปราบปรามเครือข่ายไซเบอร์สแกมอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยตกเป็นเหยื่อ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

ในช่วงท้าย โฆษกรัฐบาลกล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีได้ลงนามจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิบัติตามเอกสารถ้อยแถลงผลการพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา (คปถ.) ให้เป็นไปตามถ้อยแถลง 4 ข้อ ที่นายกฯ ไทย - กัมพูชา ลงนามใน Joint Declaration โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธาน เพื่อกำกับการดำเนินงานของคณะสังเกตการณ์ให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย นายกรัฐมนตรีมีเจตนารมณ์ชัดเจนที่จะนำความสงบสุขกลับคืนสู่ประชาชนทุกคน โดยยืนยันว่ารัฐบาลไทยจะไม่สูญเสียดินแดนหรืออธิปไตยแม้แต่เซนติเมตรเดียว

ตลอดหนึ่งเดือนนับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีเข้ารับตำแหน่ง ไม่มีพื้นที่ใดของประเทศไทยสูญเสียให้แก่กัมพูชา ไม่มีการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของทหารไทย และไม่มีเลือดของประชาชนตกบนผืนแผ่นดินไทย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของนโยบายสันติภาพบนพื้นฐานของอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ

โฆษกรัฐบาลกล่าวย้ำว่า รัฐบาลจะพิจารณาเปิดด่านชายแดนเป็นลำดับสุดท้าย หลังจากกัมพูชาปฏิบัติตามเงื่อนไขทั้งหมดในถ้อยแถลงร่วมแล้วเท่านั้น ยืนยันว่ารัฐบาลไทยไม่ยอมอ่อนข้อหรือสยบยอมต่อกัมพูชา พร้อมติดตามประเมินสถานะในพื้นที่อย่างใกล้ชิดว่ากัมพูชาจะปฎิบัติตามเงื่อนไข เพื่อเข้าสู่กระบวนการเจรจาปล่อยตัวทหาร 18 นายต่อไป

ด้านโฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าวเพิ่มเติมถึงบทบาทของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ซึ่งจะมีหน้าที่ติดตามและรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามเงื่อนไขที่ทั้งสองประเทศลงนาม โดยมีมาเลเซียเป็นประเทศผู้ลงนามรับรอง ซึ่งเป็นหลักประกันว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลง หากฝ่ายใดละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตาม ไทยจะดำเนินการแจ้งไปยังประเทศคู่สัญญาและประเทศสักขีพยานเพื่อกดดันให้ปฏิบัติตามต่อไป