Think In Truth
‘สนธิสัญญาอาเซียนส่งผู้ร้ายข้ามแดน’ เสริมเขี้ยวเล็บไทยกวาดล้างสแกมเมอร์
นักวิชาการธรรมศาสตร์ สะท้อน สนธิสัญญาอาเซียนส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ ครม. ไฟเขียวให้ ยธ. ร่วมลงนาม ช่วยเสริมเขี้ยวเล็บกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้ง “สแกมเมอร์” อย่างครบวงจร ครอบคลุมการส่งผู้ร้ายข้ามแดน หลังก่อนหน้านี้ “ไทย” ลงนามสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาของอาเซียนมาแล้ว 1 ฉบับ
จากกรณีที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2568 มีมติเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) หรือผู้แทน เป็นตัวแทนประเทศไทยในการลงนาม ในร่างสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และการดำเนินการให้สนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนมีผลใช้บังคับ ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในวันที่ 14 พ.ย. 2568 นี้
รศ. ดร.ปกป้อง ศรีสนิท อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ร่างสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะมีส่วนสำคัญในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในอาเซียน รวมทั้งสแกมเมอร์ ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมการหลอกลวงข้ามชาติ ที่จำเป็นต้องใช้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างครบวงจร ในการจับกุม ปราบปรามผู้กระทำความผิด และส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดี ดังนั้น ผลจากการลงนามในครั้งนี้จะช่วยหนุนเสริมการทำงานระหว่างประเทศในอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้ประเทศไทยได้ลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาของอาเซียน (MLAT ASEAN) มาแล้วฉบับหนึ่ง
รศ. ดร.ปกป้อง กล่าวว่า ทุกประเทศในโลกล้วนมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง เมื่อผู้กระทำผิดในประเทศหนึ่งได้หนีไปอีกประเทศหนึ่ง หรือนำทรัพย์สินไปซุกซ่อนไว้อีกประเทศหนึ่ง เจ้าหน้าที่จากประเทศต้นทางก็จะไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ เว้นแต่มีการร้องขอให้ช่วยกันตามสนธิสัญญาระหว่างกัน หรือตามหลักต่างตอบแทน โดยตัวอย่างสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (MLAT) ที่ไทยได้ลงนามไปก่อนหน้านี้ ทำให้ไทยสามารถร้องขอให้ประเทศในอาเซียนช่วยดำเนินการหรือช่วยเหลือในทางอาญาแทน เช่น ช่วยระบุตัวและสถานที่ของพยานบุคคลและผู้ต้องสงสัย ช่วยค้นและยึดทรัพย์ หรือช่วยรวบรวมพยานหลักฐานและส่งข้อมูลเพื่อดำเนินคดีอาญา รวมทั้งการช่วยริบทรัพย์ของผู้กระทำความผิดที่อาจจะนำทรัพย์สินไปซุกซ่อนในอีกประเทศหนึ่งซึ่งไม่ใช่ประเทศต้นทางในการก่อเหตุได้ และในทางกลับกัน ประเทศในอาเซียนก็สามารถร้องขอให้ไทยช่วยเหลือเรื่องดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน
“ความร่วมมือในฉบับแรกที่ลงนามไปแล้ว คือ การให้ความร่วมมือกันในการดำเนินคดีอาญา ส่วนฉบับที่สองกำลังจะลงนามในวันที่ 14 พ.ย. นี้ ว่าเฉพาะเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน คือ การส่งผู้กระทำความผิดให้กันเพื่อฟ้องคดีหรือรับโทษอาญา ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยในการปราบปรามสแกมเมอร์ข้ามชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การปราบสแกมเมอร์ข้ามชาติสามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องรอสนธิสัญญา เพราะสามารถอาศัยช่องทางความร่วมมือที่มีอยู่แล้วได้” รศ. ดร.ปกป้อง กล่าว
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า การลงนามในสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน รวมถึงสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา ถือเป็นร่างสนธิสัญญาในลักษณะพหุภาคีที่มีการกำหนดวาระร่วมกัน แล้วมีประเทศต่างๆ มากกว่า 2 ประเทศขึ้นไป มาร่วมลงนามกันในคราวเดียว โดยให้มีผลผูกพันร่วมกันไปในสนธิสัญญาฉบับเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดเอกภาพในระบบการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียน โดยสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนอาเซียนจะมีการลงนามร่วมกันในประเทศสมาชิกอาเซียน ในขณะที่สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนอื่นที่ไทยได้เคยลงนามแล้วในอดีต เป็นสนธิสัญญาแบบทวิภาคี คือ ผูกพันเฉพาะไทยกับประเทศที่ลงนาม ซึ่งมี 16 ประเทศที่ผูกพันแบบทวิภาคีกับไทย เนื้อหาของสนธิสัญญาก็จะแตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม การทำสนธิสัญญาแบบพหุภาคีก็มีข้อสังเกต เนื่องจากเมื่อทำความตกลงร่วมกันหลายประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันด้านกฎหมาย การเมืองการปกครอง ผลประโยชน์ ความเชื่อ ลักษณะประชากร ฯลฯ จึงอาจส่งผลต่อการบังคับใช้ตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาแบบพหุภาคี ซึ่งจะแตกต่างจากสนธิสัญญาแบบทวิภาคีที่ตกลงร่วมกันระหว่างสองประเทศ จึงมีความซับซ้อนน้อยกว่าและเจรจาต่อรองกันง่ายกว่า
