In News

นายกฯนำทีมแถลงต่อต้านภัยสแกมเมอร์' จับคลิปโต/รวบ'ลี ยงพัด'ยึดทรัพย์เพิ่ม



กรุงเทพฯ-นายกฯ “อนุทิน” นำทีมแถลงปฏิบัติการ “รวมพลังคนไทย ต้านภัยสแกมเมอร์” เดินหน้ายุทธศาสตร์เชิงรุก สั่งเร่งขจัดเครือข่ายอาชญากรออนไลน์พร้อมชวนคนไทยยึด 3 หลัก “ไม่เชื่อ-ไม่รีบ- ไม่โอน” สร้างภูมิคุ้มกันภัยสแกมเมอร์ ร่วมมือ platform ระดับโลก จับคลิปโต พร้อมรวบ ลี ยงพัด อดีต ส.ว. กัมพูชา ยึดทรัพย์เพิ่ม

วันนี้ (10 พฤศจิกายน 2568) เวลา 11.15 น. ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข ชั้น 3 อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมแถลงข่าวผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี United Thailand Against Scammer “รวมพลังคนไทย ต้านภัยสแกมเมอร์” โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บริหาร เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมด้วย

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการสาธิตการปฏิบัติการของศูนย์ปฏิบัติการ Anti-Scam War Room พร้อมมอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายที่เป็นเหยื่อจากการถูกฉ้อโกงออนไลน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถช่วยเหลือติดตามทรัพย์สินกลับคืนมาได้ จากนั้นนายกรัฐมนตรีรับฟังผลการปฏิบัติการในภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนวความคิด ทิศทางในอนาคตในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเจ้าหน้าที่สามารถ ยึดคริปโตเคอร์เรนซีจากกลุ่มแฮ็กเกอร์ต่างชาติได้สำเร็จ โดยได้รับความร่วมมือจาก บริษัท Binance ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลกที่ดูแลด้านการซื้อขายและความปลอดภัยของสินทรัพย์ดิจิทัล ส่งผลให้สามารถ ติดตามและยึดเงินคืนให้กับผู้เสียหายได้รวมมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้ทลายเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ “ลี ยงพัด” ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินข้ามประเทศ โดยได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้น 36 จุดทั่วประเทศ สามารถยึดทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายว่า วันนี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงาน “รวมพลังคนไทย ต้านภัยสแกมเมอร์” เพื่ออัปเดตความคืบหน้าในการปฏิบัติการ และเพื่อแสดงจุดยืนร่วมกันอีกครั้งว่า ทุกภาคส่วนของประเทศไทยจะร่วมเป็นพลังสำคัญในการปราบปรามกลุ่มสแกมเมอร์ให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย โดยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน เป็นภัยที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้แรงงาน แม่ค้าออนไลน์ ชาวบ้าน เยาวชน ไปจนถึงผู้สูงอายุ ที่อาจเพียงรับโทรศัพท์ผิดสาย หรือเผลอไว้ใจคนแปลกหน้าที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวัน จนก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นในทุกพื้นที่ของประเทศ ซึ่งความเสียหายจากสแกมเมอร์นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องของ “เงิน” เท่านั้น แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และแม้กระทั่งความเชื่อมั่นต่อภาครัฐด้วย ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ประกาศให้การปราบปรามสแกมเมอร์เป็น “วาระแห่งชาติ” ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า รัฐบาลได้จัดตั้ง “คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” ขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานด้วยตนเอง เพื่อให้ทุกหน่วยงานทำงานไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกภาพ โดยที่ผ่านมา ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง 15 หน่วยงานหลัก ครอบคลุมเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการเงิน เพื่อร่วมกัน “อุดช่องโหว่ทางการเงิน” และ “ตัดเส้นทางการเงิน” ของขบวนการอาชญากรรมเหล่านี้ให้สิ้นซาก โดยได้มีการปรับยุทธศาสตร์จากการตั้งรับ มาเป็นการรุกไล่เชิงรุก และผลงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ได้มีการอายัดทรัพย์สินจากขบวนการอาชญากรรมหลายหมื่นล้านบาท เพิกถอนวีซ่า และผลักดันผู้กระทำผิดชาวต่างชาติออกนอกประเทศ อีกทั้งยังสามารถปิดบัญชีม้าได้จำนวนมากภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งทั้งหมดนี้คือ “ผลลัพธ์” ที่เกิดขึ้นจริงและจับต้องได้

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี เข้าใจดีว่า ประชาชนยังคงมีคำถาม และบางส่วนอาจมีข้อสงสัยว่า ภายในเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้มี “คนของรัฐ” เข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ ขอยืนยันว่า รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ และรับฟังทุกเสียงสะท้อนจากประชาชน พร้อมทั้งได้กำชับผู้บังคับบัญชาในทุกหน่วยงานให้เร่งดำเนินการอย่างเต็มกำลัง เพื่อขจัดปัญหานี้ให้หมดสิ้นไป หากท่านใดมีข้อมูลหรือเบาะแสว่า มี “นักการเมือง” หรือ “เจ้าหน้าที่รัฐ” เข้าไปพัวพันกับขบวนการเหล่านี้ ขอให้แจ้งข้อมูลต่อผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือส่งตรงมายังผมได้โดยตรง

“รัฐบาลจะให้ความคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสอย่างเต็มที่ และขอย้ำว่า การแจ้งข้อมูลผ่านช่องทางที่ถูกต้องตามอำนาจหน้าที่ จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ทันเวลา และเป็นไปตามกฎหมาย” นายกรัฐมนตรี ย้ำ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เราต้องรวมพลังร่วมกันเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ และบอกเล่ากลโกงของสแกมเมอร์ในรูปแบบต่าง ๆ ให้กับประชาชน เพราะอาชญากรเหล่านี้ “ใช้ความไม่รู้ของเราเป็นอาวุธ” การสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดและความรู้เท่าทันจึงเป็นแนวทางป้องกันที่ดีที่สุด โดยขอฝากประชาชนให้ยึดหลักง่าย ๆ 3 ข้อ คือ “ไม่เชื่อ - ไม่รีบ - ไม่โอน” ซึ่งเป็นเกราะป้องกันที่มีประสิทธิภาพ หากเรามีสติและพิจารณาอย่างรอบคอบ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกล่อลวงได้อย่างมาก นอกจากนี้ ขอให้สังเกตให้ดี หากมีผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานใด ๆ ส่งลิงก์ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว หรือขอให้ยืนยันตัวตน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนทันทีว่า ท่านอาจกำลังเผชิญกับมิจฉาชีพ เพราะเมื่อพวกเขาได้ข้อมูลยืนยันตัวตนไป ก็สามารถเข้าถึงบัญชีธนาคารและโอนเงินออกไปได้ในเวลาอันสั้น

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อปกป้องพี่น้องประชาชนให้ปลอดภัย รวมทั้งขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนง ที่ร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนได้รู้เท่าทันกลโกงของอาชญากรยุคดิจิทัล

“ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข่าวสารจากภาครัฐอย่างใกล้ชิด และช่วยกันเตือนคนรอบตัวให้ระมัดระวัง จะได้ช่วยกันปกป้องสังคมจากภัยร้ายนี้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ รัฐบาลจะเดินหน้ารณรงค์อย่างต่อเนื่อง ทั้งในทุกพื้นที่และทุกช่องทาง เพื่อให้คนไทยทุกวัย “รู้เท่าทันสแกมเมอร์” และสามารถ “ปกป้องตนเองได้” อย่างมั่นใจ” นายกรัฐมนตรี กล่าว