In News
นายกฯบุกแม่สอดดูเหยื่ออินเดียกลับบ้าน ฝากผู้ว่าฯ9ข้อทำสงครามแก๊งสแกมเมอร์
กรุงเทพฯ-นายกรัฐมนตรีกำชับบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด- ลั่นประเทศไทยจะไม่เป็นแหล่งฟอกเงินอีกต่อไป ติดตามการส่งกลับบุคคลต่างชาติฯ ณ แม่สอดพร้อมประกาศสงครามสแกมเมอร์ ระดับ “วาระแห่งชาติ” ก่อนหน้านี้ยังได้หารือ เอกอัครราชทูตอินเดีย ในโอกาสลงพื้นที่ติดตามการปฏิบัติหน้าที่ส่งกลับบุคคลต่างชาติที่ตกเป็นเหยื่อของ scammerตอกย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ ป้องกันชาวต่างชาติไม่ให้ถูกหลอกลวงตกเป็นเหยื่อและให้สัมภาษณ์กำชับเร่งผลักดันผู้ลักลอบเข้าเมืองกลับประเทศต้นทาง ย้ำไทยไม่ใช่พื้นที่พักพิงหรือแหล่งกระทำผิดอาชญากรรมข้ามชาติ

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2568) เวลา 15.00 น. ณ ท่าอากาศยานแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ภายหลังการหารือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สังเกตการณ์การส่งกลับบุคคลต่างชาติ (สัญชาติอินเดีย) จำนวน 197 ราย โดยสารเครื่องบินของกองทัพอากาศอินเดียกลับประเทศ
ก่อนตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และชมนิทรรศการป้องกันและปราบปรามสแกมเมอร์ผ่านระบบสตาร์ลิงค์ โดยมี พลตำรวจโท กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ให้การบรรยายสรุป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ร่วมรับฟังรายงานสถานการณ์การบริหารจัดการบุคคลชาวต่างชาติที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ได้รับฟังการบรรยายจาก
- พลโท วรเทพ บุญญะ แม่ทัพภาคที่ 3 รายงานสถานการณ์ความมั่นคงตามแนวชายแดนที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ โดยรายงานว่าปัจจุบันได้ส่งตัวชาวต่างชาติที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกลับประเทศต้นทางแล้ว 9,300 กว่าราย และมีการประสานการดำเนินการเพื่อให้ความช่วยเหลือเหยื่อขบวนการหลอกลวงกับมิตรประเทศอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นจีน เมียนมา และอินเดีย นอกจากนี้ เหตุการณ์ใน KK Park ตั้งแต่ 22 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา ทำให้มีการลักลอบข้ามแดนมาไทยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี หน่วยงานด้านความมั่นคงได้บังคับใช้มาตรการคัดกรองที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ทั้งยังมีการตรวจสอบโรงแรมที่พัก และการเดินทางเข้า-ออกพื้นที่บริเวณชายแดน เพื่อสกัดกั้นการข้ามแดนที่ผิดกฎหมาย
- นายสวนิต สุริยกุล ณ อยุธยา รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก รายงานการบริหารจัดการสถานการณ์ผ่านศูนย์สั่งการชายแดนไทย–เมียนมา โดย ได้สรุปการบริหาร สถานการณ์บุคคลต่างชาติหลบเข้าเมือง โดยดำเนินการคัดกรองตามกฎหมายให้เร็วที่สุด และยึดหลักสิทธิมนุษยชน โดยจังหวัดมีการทำงานเป็นทีมร่วมกับทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทำให้การทำงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- พลตำรวจโท กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 รายงานการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์แนวชายแดน ที่มีการบูรณาการการทำงานร่วมกับศูนย์สั่งการชายแดนและประสานกับสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยมีมาตรการเชิงรุก เช่น การวางกำลังตามเส้นทางปากเขา ตรวจสายไฟเบอร์ออปติก โดยใช้โดรนบินสูงตรวจสอบ สัญญาณเสา โทรศัพท์เป็นต้น
- พลตำรวจโท ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รายงานการตรวจสอบข้อมูลคนต่างด้าวและการส่งกลับออกนอกประเทศ ได้รายงานสถานะการควบคุมผู้ต้องการรอส่งกลับในความรับผิดชอบของ ตม.จังหวัดตาก รวมถึงการตรวจสอบประวัติผู้ต้องสงสัยที่มีประวัติเข้า-ออก ชายแดนบ่อยครั้งโดยใช้ระบบ biometric
ภายหลังการรับฟังรายงาน นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ โดยขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกันดูแลสถานการณ์ตามแนวชายแดน และเน้นย้ำว่าการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ เป็นภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ และความปลอดภัยของประชาชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ ไม่ใช่ปัญหาของไทยประเทศเดียว แต่เป็นภัยระดับโลก ทั้งอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ และการหลอกลวงออนไลน์ หรือ ‘สแกมเมอร์’ ที่สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั่วโลก รัฐบาลไทยจะไม่ยอมให้ประเทศของเราเป็นฐานหรือทางผ่านของอาชญากรอีกต่อไป”
นายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลได้ดำเนินการเชิงรุกหลายด้าน อาทิ การจัดตั้ง “บอร์ดปราบสแกมเมอร์แห่งชาติ” เพื่อประสานความร่วมมือกับนานาประเทศในลักษณะ “Global Team” การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และล่าสุด มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง 15 หน่วยงานของไทย เพื่อร่วมกัน “ประกาศสงครามกับสแกมเมอร์” และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนในระดับ “วาระแห่งชาติ”
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทุกหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด บูรณาการข้อมูลข่าวกรองและการสืบสวนให้เป็นเอกภาพ พร้อมยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทันที เพื่อ “ตัดเส้นทางการเงิน” ไม่ให้ประเทศไทยถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงินอีกต่อไป
ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ดำเนินมาตรการ 9 ข้อเร่งด่วน ได้แก่
1. ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอจัดทำแผนศึกษาปัญหาในพื้นที่ 2. จัดตั้ง “ชุดปฏิบัติการพิเศษ” แก้ไขอาชญากรรมเทคโนโลยี 3.บูรณาการทุกฝ่ายร่วมสกัดภัยไซเบอร์ 4.เข้มงวดการรักษาความสงบเรียบร้อยของชุดปฏิบัติการ 5.ให้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและอำเภอเป็นศูนย์ประสานช่วยเหลือผู้เสียหาย
6. ใช้กลไกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชรบ. เฝ้าระวังภัยในชุมชน 7. เข้มงวดจุดผ่านแดน ตรวจสอบบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยง 8. ดำเนินคดีกับผู้ถือสัญชาติไทยที่ร่วมกระทำผิดและ9. ส่งเสริมความรู้เท่าทันภัยดิจิทัลให้ประชาชน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการคัดกรองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้ไทยเป็นประเทศทางผ่านด้วย
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรียังฝากให้ทหาร จังหวัด ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด หามาตรการการเพื่อป้องกันน้ำท่วมเชิงรุก และให้ความช่วยเหลือและดูแลประชาชนในพื้นที่ให้ทันท่วงที หากเกิดเหตุ
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า “รัฐบาลจะสนับสนุนทุกหน่วยงานอย่างเต็มที่ ขอให้ทุกคนไม่นิ่งดูดายต่อช่องโหว่หรือความบกพร่องใด ๆ ในระบบ และเสนอแนวทางแก้ไขอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันปกป้องประเทศจากภัยสแกมเมอร์ให้ได้อย่างสิ้นเชิง”
นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละและเข้มแข็ง พร้อมเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันผลักดันนโยบายนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคง ปลอดภัย และยั่งยืนให้กับประชาชนชาวไทย
นายกฯถึงแม่สอดหารือทูตฯอินเดีย

เวลา 14.15 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางถึงอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อติดตามการปฏิบัติหน้าที่ส่งกลับบุคคลต่างชาติที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้หารือกับนายนาเคศ สิงห์ (H.E. Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย โดยมีนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และพลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมการหารือด้วย
นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตอินเดียฯ ต่างยินดีที่ได้หารือแลกเปลี่ยนข้อมูลและมุมมองเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดต่อการปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ โดยยกระดับให้เป็น “วาระแห่งชาติ” พร้อมให้ความช่วยเหลือในการส่งกลับบุคคลต่างชาติ ซึ่งรวมถึงชาวอินเดีย จากศูนย์สแกมเมอร์ในเมียนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอบคุณอินเดียที่ให้ความร่วมมืออย่างทันท่วงทีในการให้ความช่วยเหลือจัดเที่ยวบินพิเศษรับชาวอินเดียกลับประเทศ
ด้านเอกอัครราชทูตอินเดียฯ กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี รัฐบาลไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย จังหวัดตาก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการให้ความช่วยเหลือชาวอินเดียที่ตกเป็นเหยื่อจากศูนย์สแกมเมอร์ได้เดินทางกลับประเทศ ทั้งในวันนี้ จำนวน 197 คน และเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 68 ที่ผ่านมา จำนวน 270 คน พร้อมชื่นชมนโยบายของรัฐบาลในการเข้มงวดปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ทุกประเภท
นายกฯยืนยันกับสื่อฯกำชับเร่งผลักดันผู้ลักลอบเข้าเมือง

เวลา 16.00 นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังการตรวจติดตามการปฏิบัติหน้าที่ส่งกลับบุคคลต่างชาติ ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ณ ท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยย้ำว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการเร่งรัดการส่งกลับผู้ลักลอบเข้าเมืองให้กลับประเทศต้นทางโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องแบกรับภาระด้านงบประมาณและบุคลากรในการดูแลผู้ต้องหากลุ่มนี้เป็นเวลานาน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามมาตรการทางกฎหมายและทางการทูต โดยไทยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประเทศต้นทางในการรับตัวผู้ต้องหากลับไปดำเนินคดีต่อในประเทศของตน ซึ่งจะช่วยลดภาระด้านค่าใช้จ่ายของรัฐ เช่น ค่าอาหาร ค่าควบคุมตัว ค่าน้ำค่าไฟ และบุคลากรที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ดูแลในระหว่างถูกคุมขัง
นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ในพื้นที่จังหวัดตากมีผู้ต้องหาที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเกือบหนึ่งพันคน ซึ่งส่วนใหญ่หนีความรุนแรงจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา โดยไทยได้หารือและประสานกับเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย เพื่อให้รัฐบาลอินเดียรับตัวผู้ต้องหาชาวอินเดียกลับไปดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมของตน ซึ่งถือเป็นความร่วมมือที่เกิดผลเป็นรูปธรรม และไทยมีแนวทางที่จะดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ กว่า 20 ประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้เข้ามาท่องเที่ยวหรือประกอบธุรกิจที่ถูกกฎหมาย เพื่อป้องกันการใช้ประเทศไทยเป็นช่องทางผ่านหรือฐานปฏิบัติการของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น กลุ่มสแกมเมอร์ หรือผู้ค้ามนุษย์ ซึ่งบางส่วนหลบหนีการปราบปรามในประเทศเพื่อนบ้านแล้วกลับเข้ามาในไทย
“เราไม่ใช่ที่ให้เขามาพำนักพักพิง ถึงแม้จะอยู่ในเรือนจำ เราก็ยังต้องเสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น เราจึงต้องเร่งผลักดันผู้ลักลอบเข้าเมืองออกไปให้เร็วที่สุด” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีระบุด้วยว่า ได้มอบแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้กับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในกรณีที่ประเทศต้นทางไม่มีเที่ยวบินมารับตัวผู้ต้องหา หากคำนวณค่าใช้จ่ายในการควบคุมตัวและดูแลระยะยาวแล้วสูงกว่าค่าตั๋วเครื่องบิน ควรพิจารณาส่งกลับโดยเร็ว พร้อมยืนยันว่าไทยจะใช้ทุกมาตรการตามกฎหมาย รวมถึงการเนรเทศเพื่อให้ผู้กระทำผิดกลับประเทศต้นทางโดยเร็วที่สุด
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ปัจจุบันรัฐบาลให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี และขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ โดยมีการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านการสืบสวน ติดตามเส้นทางการเงิน การฟอกเงิน การยึดและอายัดทรัพย์ เพื่อสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมให้ได้ผลเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ยังได้หารือกับเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ต่อมาตรการ “3 ตัด” ได้แก่ ตัดไฟ ตัดเชื้อเพลิง และตัดสัญญาณ ในพื้นที่ชายแดนที่เป็นแหล่งรวมของขบวนการค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ พร้อมกำชับให้ศุลกากรเข้มงวดไม่ให้สินค้าหรืออุปกรณ์ที่ใช้กระทำความผิดลักลอบเข้าประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวในช่วงท้ายว่า ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองและอาชญากรรมข้ามชาติเป็นเรื่องซับซ้อน มีเครือข่ายกว้างขวางและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การใช้ Starlink หรือช่องทางธรรมชาติบริเวณลำน้ำโขงในการลักลอบเข้าประเทศ รัฐบาลจึงต้องดำเนินมาตรการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานอย่างบูรณาการเพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชนไทย
