In News

รัฐฯยืนยันพร้อมเดินหน้าปกป้องอธิปไตย พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริง/เจรจากับสหรัฐฯ



กรุงเทพฯ-โฆษกรัฐบาล ย้ำรัฐบาลมุ่งมั่นตั้งใจแก้ไขทั้งปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และผลักดันข้อตกลงการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศให้สำเร็จลุล่วง โดยทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเป็นเอกภาพเดินหน้าปกป้องอธิปไตยไทยเก็บกู้ทุ่นระเบิด เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมการเจรจากับสหรัฐฯ

วันนี้ (17 พฤศจิกายน 2568) เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศ ร่วมกับผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ พลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นาวาอากาศเอก จงเจต วัชรานันท์ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย และนาวาอากาศเอก วุฒิกร สุวารี รองโฆษกกองทัพอากาศ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศ

โฆษกรัฐบาลเน้นย้ำว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีความมุ่งมั่น ตั้งใจอย่างหนักแน่นที่จะแก้ไขทั้งปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และต้องการผลักดันข้อตกลงการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี การแถลงข่าวในวันนี้จึงได้เรียนเชิญฝ่ายความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการระงับ Joint Declaration การดำเนินการในส่วนที่ไทยได้ประโยชน์ บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในเวทีโลกต่อประเด็นดังกล่าว และสถานการณ์ด้านการค้า ดังนี้

โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความกังวลต่อความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชนในพื้นที่ชายแดน โดยตั้งแต่ 16 กรกฎาคม ถึง 10 พฤศจิกายน 2568 มีเหตุการณ์รวม 7 ครั้ง และเหตุล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ที่บริเวณห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ยอดรวมผู้บาดเจ็บตั้งแต่เหตุการณ์แรกถึงปัจจุบัน มีจำนวน 20 นาย แบ่งเป็นบาดเจ็บขาขาด 7 นาย และบาดเจ็บจากแรงระเบิด 13 นาย

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของฝ่ายไทย เหตุการณ์ล่าสุดพบชัดเจนว่าเป็น “ทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ที่ถูกวางใหม่” ในพื้นที่ที่ก่อนหน้าไทยได้เคลียร์จนปลอดภัยแล้ว นอกจากนี้ยังพบทุ่นระเบิดอีก 3 ลูกที่ยังไม่ระเบิด ซึ่งการวางทุ่นระเบิดทั้งหมดมีลักษณะบ่งชี้ว่ามีการวางใหม่ และเป็นการวางทุ่นระเบิดที่มีเจตนา เพื่อให้ถึงแก่ชีวิตกำลังพลของไทย นอกจากนี้ ข้อกล่าวหาที่ไทย “วางทุ่นระเบิดเอง” ไม่เป็นความจริง โดยไทยได้ปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวาอย่างเคร่งครัด โดยได้รายงานอย่างเป็นทางการเมื่อ 30 เมษายน 2568 ว่าไทยไม่มีการเก็บสะสมทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกประเภทตั้งแต่ปี 2562 อีกทั้งไทยได้ดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดแล้วกว่า 99.5% ของพื้นที่ทั้งหมด คงเหลือเพียง 12.8 ตารางกิโลเมตรใน 6 จังหวัด

ขณะเดียวกัน หลักฐานจำนวนมากชี้ว่า ฝ่ายกัมพูชามีการวางทุ่นระเบิดใหม่ ทั้งภาพถ่ายกำลังพลกัมพูชาถือทุ่นระเบิด PMN-2 คลิปวิดีโอการเคลื่อนย้ายทุ่นระเบิด 72B และการตรวจพบทุ่นระเบิดใหม่หลังเหตุปะทะบริเวณภูมะเขือในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นท่าทีที่ขัดต่อพันธกรณีในอนุสัญญาออตตาวาและข้อตกลงร่วมต่าง ๆ ระหว่างไทย–กัมพูชา

โฆษกกระทรวงกลาโหมเน้นย้ำว่า การวางทุ่นระเบิดของกัมพูชา ถือเป็นการละเมิดปฏิญญาร่วม (Joint Declaration) และละเมิดการปฏิบัติตามผลการประชุม GBC ของทั้งสองประเทศ ที่ระบุให้ทั้งสองฝ่ายไม่กระทำการยั่วยุ ที่อาจทำให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น รวมถึงการที่จะไม่ขยายขอบเขตและระดับของความขัดแย้งที่อาจทำให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ที่สำคัญกัมพูชายังละเมิดปฏิญญาร่วม (Joint Declaration) ข้อ 4. ที่ระบุว่า “ทั้งสองฝ่ายยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเขตแดนด้วยวิธีสันติและตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยละเว้นการเป็นภัยคุกคาม หรือ การใช้กำลัง หรือ การดำเนินการยั่วยุใดๆ” ซึ่งจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แสดงชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงอย่างชัดเจน

การกระทำของกัมพูชาทำให้ไทยมีความจำเป็นต้อง “ระงับการปฏิบัติตาม Action Plan” แต่ยังคงเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดในเขตแดนไทย 13 พื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่กองกำลังบูรพา กองกำลังสุรนารี และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด โดยกองทัพไทยยืนยันว่ายังคงพร้อมปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนทุกกรณี รวมถึงให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดนเป็นอันดับแรก เพราะทุ่นระเบิดเป็นอาวุธที่รุนแรง มีผลระยะยาวต่อร่างกาย จิตใจ และครอบครัวของผู้ได้รับผลกระทบ

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ หรือ Scammer ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ มีการจับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 7,000 ราย รวมถึงดำเนินคดีกับเครือข่ายซิมเถื่อน บัญชีม้า และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชื่อมสัญญาณผิดกฎหมายตามแนวชายแดน ขณะเดียวกันสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประสานความร่วมมือระดับภูมิภาค เพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติ โดยผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้เดินทางไปประชุมที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับสแกมเมอร์ ร่วมกับเมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมีข้อริเริ่มว่าด้วยการปราบปรามและจัดการอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ โดยเห็นพ้องร่วมกันในการส่งมอบผู้ต้องหา แลกเปลี่ยนพยานหลักฐาน ดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สิน และสร้างกลไกความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปกป้องประชาชนและความมั่นคงในภูมิภาค ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเน้นย้ำจุดยืนว่าจะดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยตกเป็นเหยื่อ โดยดำเนินการเชิงรุก ทั้งมาตรการในประเทศและต่างประเทศอย่างเข้มข้น รวมถึงจะร่วมกับรัฐบาลและเหล่าทัพ ในการปกป้องอธิปไตยของประเทศทุกมิติ

ด้านอธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการในทุกระดับและทุกพื้นที่ เพื่อรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศอย่างรอบด้าน ทั้งการประท้วง การชี้แจงต่อประเทศคู่เจรจา และการสื่อสารกับประชาคมโลก โดยได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในหลายมิติ

ในประเด็นการละเมิด Joint Declaration ของกัมพูชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้โทรศัพท์ติดต่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา เพื่อประท้วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที และได้ส่งหนังสือประท้วงเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับ ผ่านสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เพื่อย้ำจุดยืนและความกังวลของฝ่ายไทยอย่างเป็นทางการ

กระทรวงการต่างประเทศยังได้ชี้แจงและหารือกับผู้นำสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย โดยนายกรัฐมนตรีมีหนังสือถึงผู้นำทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นสักขีพยานการลงนาม Joint Declaration ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ พร้อมส่งสำเนาหนังสือถึงประเทศสมาชิกทุกประเทศ โดยเน้นย้ำว่าไทยยึดมั่นในเส้นทางสันติภาพ และปฏิบัติตาม Joint Declaration มาโดยตลอด นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้หารือทางโทรศัพท์กับผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย โดยขอให้แยกประเด็นความมั่นคงระหว่างไทย–กัมพูชา ออกจากประเด็นทางการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ

กระทรวงการต่างประเทศยังได้ส่งหนังสือประท้วงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยแจ้งต่อประธานคณะมนตรีฯ พร้อมขอให้เวียนหนังสือให้สมาชิกคณะมนตรีฯ รับทราบ โดยใจความสำคัญคือการชี้ให้เห็นถึงการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยโดยกัมพูชา

หลังจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะเดินหน้าชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และได้ส่งหนังสือชี้แจงไปยังเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ และผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศประจำประเทศไทย พร้อมจัดบรรยายสรุปและประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้อมูลครบถ้วน นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลกได้รับมอบแนวทางและเอกสารอธิบายเพื่อใช้ในการชี้แจงต่อประเทศเจ้าบ้าน ให้เห็นข้อเท็จจริงว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงก่อน

สำหรับข้อกังวลต่อไปเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการค้า โฆษกรัฐบาลย้ำว่า นายกรัฐมนตรีได้ขอให้แยกประเด็นทวิภาคีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงระหว่างไทยกับกัมพูชา แยกออกจากประเด็นผลประโยชน์ทางการพาณิชย์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อวานนี้ได้รับข่าวสารที่เป็นบวกกับแนวทางของนายกรัฐมนตรี ผ่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งได้ยืนยันว่าทางสหรัฐฯ จะแยกประเด็นนี้ออกจากกัน

อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ไทยยังมีการพูดคุยกับทางสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลล่าสุดของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หรือ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้กล่าวถึงประเทศไทย มีความมั่นใจว่าทางสหรัฐฯ น่าจะมีเป้าหมายเดียวกัน ที่ยังคงยึดมั่นในกรอบเวลาเดิม ที่ตั้งใจเจรจาในตัวรายละเอียดของความตกลงที่เกี่ยวข้องกับการค้าต่างตอบแทนให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้  โดยกระทรวงพาณิชย์ได้เน้นย้ำกับทาง USTR มาตลอด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เจอกับทางผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในช่วงการประชุมเอเปค ก็เน้นย้ำตลอดว่า ในเรื่องการค้าและความมั่นคงจะต้องแยกกันอย่างชัดเจน ส่วนในรายละเอียดสำหรับความตกลงในประเทศไทย มีการทำการบ้านอย่างจริงจัง เพื่อหารือกับสหรัฐฯ อย่างเข้มข้น ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานทางด้านยุทธศาสตร์ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานของคณะทำงานที่ดูแลในเรื่องนี้

โดยกระทรวงพาณิชย์มุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องและยึดมั่นในเป้าหมายเดิม โดยยังได้เตรียมการให้ผู้ประกอบการไทยมีขีดความสามารถ มีศักยภาพในด้านบริการ และด้านอื่น ๆ รวมทั้งเตรียมหาตลาดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับประเทศคู่เจรจาที่มีอยู่ และขยายตลาดใหม่ ในแง่ของการทำความตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น เป็นการเตรียมพร้อมผู้ประกอบการ ในการต่อสู้ในช่วงภาวะการแข่งขันสูง ที่มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่เป็นผลกระทบต่อการค้า การลงทุน ในช่วงนี้ และมีการหารือทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการทั้งหลายว่าวัตถุประสงค์ในการเจรจา และผลประโยชน์ ผลกระทบต่าง ๆ จะถูกนำมาพิจารณาอย่างครบถ้วนและรอบด้าน

ในช่วงท้าย โฆษกรัฐบาลสรุปแนวทางเรื่อง Joint Declaration ในการดำเนินดำเนินการใหม่ของฝ่ายความมั่นคง ดังนี้ 1) จากเดิมที่มี action plan ในเรื่องการถอนกำลังว่าจะเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 2 เดือน ตอนนี้ระงับเรื่องนี้ไปอย่างไม่มีกำหนด 2) รัฐบาลยืนยันว่าจะเดินหน้าในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ของไทยอย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงถึงว่าฝ่ายกัมพูชาจะเห็นด้วยหรือไม่ 3) ในการบริหารจัดการพื้นที่หนองจานและหนองหญ้าแก้ว จะมีการดำเนินการต่ออยู่ 4) การปราบปรามสแกมเมอร์ รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าต่อไป หากกลไกในระดับทวิภาคีไทย-กัมพูชาดำเนินการไม่ได้ จะใช้การดำเนินการในระดับพหุภาคี 5) การปล่อยเชลยศึกเป็นสิ่งสุดท้าย หลังจากที่เห็นว่าความเป็นปฏิปักษ์ของกัมพูชาหมดสิ้นไป จึงจะเริ่มมีการเจรจา

พร้อมยืนยันว่าการปฏิบัติการทั้งหมดนี้ รัฐบาลและกองทัพยืนยันที่จะใช้แนวทางสันติวิธี แต่ขอสงวนสิทธิ์ที่จะตอบโต้หากโดนยั่วยุตามความเหมาะสม ทั้งนี้ โฆษกฯ ขอให้ทั้งสื่อไทยและต่างประเทศระมัดระวังในการสื่อสาร โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน จะเห็นจาก สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่สื่อต่างประเทศได้นำเสนอข่าวผิดพลาด นำมาซึ่งความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ดังนั้นในการนำเสนอข่าว ประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา และประเด็นที่เกี่ยวข้อง ขอให้ระมัดระวังในการสื่อสาร เพราะผลกระทบจะเกิดขึ้นในวงกว้าง ทางรัฐบาลยืนยันว่าจะสื่อสารด้วยความรวดเร็ว และตรงไปตรงมา