In News
JFCFCTชงนายกฯแก้6ด้านขับเคลื่อนศก. 'อนุทิน'ย้ำรัฐฯพร้อมรับฟังทุกข้อเสนอแนะ
กรุงเทพฯ-นายกฯ หารือคณะหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT) ย้ำรัฐบาลพร้อมรับฟังทุกข้อเสนอแนะ พร้อมผลักดันความร่วมมือภาครัฐ - เอกชน เสริมสภาพแวดล้อมธุรกิจไทยที่โปร่งใส–แข่งขันได้
วันนี้ (วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน 2568) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นางวีเบ็คเก้ ลิดแซนด์ ไรเวอร์ก (Mrs. Vibeke Lyssand Leirvåg) ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand: JFCCT) และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐ - เอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เข้าร่วม
โดยคณะ JFCCT ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทยจำนวนกว่า 32 แห่ง และเป็นตัวแทนของบริษัทมากกว่า 8,000 แห่งทั้งในและต่างประเทศ โดยมีภารกิจส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาและถ่ายทอดทักษะเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจไทย ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือสรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า JFCCT ถือเป็นพันธมิตรสำคัญที่มีบทบาทมายาวนานในการผลักดันการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของไทยกับนานาประเทศ พร้อมขอบคุณภาคเอกชนต่างชาติที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย นำพาเศรษฐกิจไทยก้าวผ่านทั้งความท้าทายและโอกาสที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับมุมมองของภาคธุรกิจต่างประเทศ เพื่อร่วมกันทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่ “น่าเชื่อถือ คาดการณ์ได้ และเป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดการค้าและการลงทุน” พร้อมย้ำว่า ข้อคิดเห็นจากภาคเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะร่วมกันสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง ยืดหยุ่น และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ด้านประธาน JFCCT กล่าวว่า JFCCT เป็นตัวแทนของภาคธุรกิจต่างชาติ ทั้งบริษัทขนาดใหญ่ SMEs และผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ มีพันธกิจหลักในการสนับสนุนสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนและการประกอบธุรกิจของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องตลอด 49 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเครือข่ายระหว่างประเทศต่างๆ โดยเน้นย้ำว่าภาคธุรกิจต่างชาติพร้อมเป็นหุ้นส่วนที่เชื่อถือได้ของประเทศไทย พร้อมชื่นชมทิศทางเชิงรุกของรัฐบาลที่ทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างจริงจัง ซึ่งยินดีจะร่วมผลักดันการเติบโตและยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว
ประธาน JFCCT ได้นำเสนอประเด็นสำคัญที่ภาคธุรกิจต่างชาติมองว่าสามารถขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การแข่งขันในระยะยาวใน 6 ด้านสำคัญ ดังนี้
1) การยกระดับความสามารถแข่งขันของประเทศ JFCCT เห็นว่าภูมิภาคกำลังปรับสมดุลภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น ไทยจำเป็นต้องเสริมความยืดหยุ่นและความพร้อมในการแข่งขัน ให้ความสำคัญต่อผลิตภาพแรงงาน การพัฒนาทักษะ นวัตกรรม การเปิดเสรีบริการ โครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุง Ease of Doing Business และประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน
2) การเดินหน้ารัฐบาลดิจิทัลแบบบูรณาการ JFCCT สนับสนุนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลแบบ Whole-of-Government เชื่อมโยงทุกหน่วยงานด้วยการเข้าถึงระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์แบบรวมศูนย์ (Single Sign-on) และยกระดับบริการรัฐด้วย Digital ID, Digital Signature และระบบ Cybersecurity ที่แข็งแรง เพื่อการบริการอย่างคล่องตัว โปร่งใส และปลอดภัย
3) การสร้างทักษะแรงงานแห่งอนาคต เน้นความสำคัญของการ Upskill–Reskill แรงงาน การปฏิรูปหลักสูตรสายอาชีพให้ตอบโจทย์เทคโนโลยีใหม่ เช่น AI รวมทั้งสนับสนุนการเปิดเสรีการเคลื่อนย้ายบุคลากรทักษะสูงจากต่างประเทศ เพื่อยกระดับการถ่ายทอดองค์ความรู้ ขณะเดียวกันต้องสร้างแรงจูงใจและโอกาสให้ประชาชนเรียนรู้ตลอดชีวิต
4) การเสริมพลัง SMEs ซึ่งเป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการผลิต การค้า และห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค โดย SMEs จำนวนมากกำลังได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จึงเสนอให้รัฐบาลเสริมโครงการต่าง ๆ เพื่อป้องกันปัญหาสภาพคล่องและหยุดชะงักของการผลิต
5) การพัฒนาอย่างยั่งยืนแบบองค์รวม JFCCT เสนอให้ประเทศไทยขับเคลื่อนความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ภูมิอากาศ และการใช้แนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) เพื่อยกระดับความสามารถแข่งขันและสร้างเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่น
6) การเร่งขยายความตกลงการค้าเสรี เปิดเสรีโลจิสติกส์ และการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ของไทย โดย JFCCT ระบุว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากในการขยายโครงสร้างด้านการค้าผ่านการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ต่าง ๆ เช่น ความตกลงการค้าเสรี ไทย – ศรีลังกา (Sri Lanka – Thailand FTA: SLTFTA) ความตกลงการค้าเสรีไทย – นอร์เวย์ ภายใต้กรอบสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade: EFTA) และการเจรจา FTA ไทย–สหภาพยุโรป พร้อมเชื่อมั่นว่า FTA เหล่านี้จะเปิดโอกาสสำคัญด้านเกษตร อาหารแปรรูป เทคโนโลยี บริการ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และการเติบโตของ SMEs ตลอดจนเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเปิดเสรีธุรกิจโลจิสติกส์ รวมทั้งผลักดันการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD ของไทย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณต่อข้อเสนอของภาคเอกชนที่ยืนยันว่ารัฐบาลมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้าโลก พร้อมผลักดันความตกลงการค้าเสรี เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของประเทศ และจะทำให้ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เปิดกว้าง มีเสถียรภาพ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยรัฐบาลจะเดินหน้าการเปิดเสรีภาคบริการ การเดินหน้ากระบวนการเข้าร่วม OECD และการเร่งปฏิรูประเบียบที่ไม่จำเป็น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขัน ดึงดูดการลงทุน และเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
โอกาสนี้ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลเดินหน้าปฏิรูปกฎระเบียบกว่า 800 รายการให้เสร็จภายในวาระของรัฐบาล พร้อมเร่งกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD อย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกัน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าไทยกำลังมุ่งขยายความร่วมมือทางการค้าการลงทุนเชิงรุก และได้พบหารือคู่เจรจา นักธุรกิจ และสภาธุรกิจในแต่ละประเทศและเขตเศรษฐกิจ เช่น นิวยอร์ก สิงคโปร์ และเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงจัดทำ Initial Memorandum เพื่อยกระดับมาตรฐานกฎหมายไทยให้สอดคล้องกับ OECD โดยย้ำว่า ภาคเอกชนจะมีส่วนร่วมในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนประโยชน์โดยจรงจากการยกระดับมาตรฐานของประเทศ
ด้านนางสาวกิริฎา เภาพิจิตร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยืนยันเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อรักษาอัตราภาษีไม่ให้เกิน 19% ควบคู่กับการเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบ โดยการช่วยเหลือ SMEs จะมุ่งเน้นการยกระดับทักษะ ความรู้ และการปรับโครงสร้างธุรกิจมากกว่าการให้เงินอุดหนุนเพียงอย่างเดียว สำหรับความตกลงการค้าเสรีกับหลายประเทศและกลุ่มความร่วมมือต่าง ๆ อยู่ระหว่างกระบวนการเพื่อให้สามารถเดินหน้าและมีผลใช้บังคับได้ตามกรอบเวลา นอกจากนี้ยังพร้อมพัฒนาภาคโลจิสติกส์เพื่อรองรับการเปิดเสรี พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดกับการปรับปรุงกฎระเบียบ โดยมีคณะทำงานเฉพาะกิจเร่งลดขั้นตอน และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวทางธุรกิจ ขณะที่ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับขีดความสามารถของ SMEs และภาคการผลิต เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้ปรับตัวสู่เทคโนโลยีใหม่ และมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันนโยบายเพิ่มทักษะแรงงานไทยในอุตสาหกรรมเป้าหมายควบคู่กับการร่วมพัฒนาหลักสูตรกับภาคเอกชน นอกจากนี้ ยังเร่งแก้ปัญหาอุปสรรคการลงทุนผ่านโครงการ Thailand FastPass เพื่อปรับปรุงขั้นตอนการขออนุมัติต่าง ๆ เช่น การพิจารณา EIA การพำนักในพื้นที่ให้เอื้อต่อการเริ่มต้นและขยายการลงทุนในไทย
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำถึงทิศทางเศรษฐกิจและประเด็นของกรอบเวลาในการเข้าเป็นสมาชิก OECD ของไทย ซึ่งสิ่งสำคัญคือความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลและทำงานด้วยความโปร่งใส เพื่อให้ไทยก้าวตามระเบียบโลกชุดใหม่ได้ พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้เข้ามาเพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย โดยเฉพาะภาคเอกชน เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ โดยรัฐบาลพร้อมรับฟังปัญหาและคำแนะนำในการแก้ไขกฎหมาย เพื่อวางรากฐานให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้บนมาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าจะเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลชุดใดก็ตาม
