Travel Sport & Soft Power
'รัก'คำเดียวทำ2ผัวเมียฟันฝ่ามรสุมโควิด สร้างพลังให้ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
นครปฐม-ใครท้อดูตรงนี้ ชีวิตยิ่งกว่าละคร เรื่องราวของครอบครัวคนในวงการดนตรี ที่สองสามีภรรยาเคยมีรายได้มั่นคงแต่มาเจอวิกฤติสามีป่วยเป็นโรคไตวาย ต้องผ่าตัดเปลี่ยนไตและหัวใจ โดยภรรยามารู้ตรวจพบมะเร็งรังไข่ระยะสุดท้ายกระหน่ำชีวิตอีกครั้ง แต่เมื่อรักษาหายมาพบโควิด-19 ระบาดระรอก 4 ซัดซ้ำทำหมดตัวหนี้เพิ่ม เหลือเพียงพลังรักในครอบครัวจากลูกบุญธรรมแรงต่อสู้ เผยคนรอบข้างช่วยได้มาก นับจากนี้ไม่รู้ชะตาแต่จะสู้จนกว่าจะมีโอกาสกลับมาทำงานใช้หนี้สิน ร่วม 3 ล้านให้ได้อีกครั้ง
เรื่องราวดังได้รับการเปิดเผยจาก นายวิสิษฐ์ โพธิพันธ์ อายุ 43 ปี สมาชิกอบต.วังเย็น อ.เมือง จ.นครปฐม หรือชาวบ้านจะเรียกว่า อบต.สิษฐ์ ซึ่งได้เล่าเรื่องราวของการต่อสู้กับสุขภาพจนแทบเอาชีวิตไม่รอดและเป็นผู้ป่วยรายแรกๆ ของประเทศไทยที่ได้รับการปลูกถ่ายเปลี่ยนอวัยวะไตและหัวใจ มาแล้วโดยใช้ชีวิตในโรงพยาบาลมานานกว่า 3 เดือน แต่เมื่อการรักษาตัวยังไม่ทันหายดีภรรยาคู่ชีวิตกลับมาตรวจพบมะเร็งรังไข่ระยะสุดท้าย จากชีวิตที่เคยรุ่งเรื่องในงานสายบันเทิงที่เคยร่วมงานกับศิลปินดังหลายคนกลับพลิกผันกลับกลายเป็นคนที่มีหนี้สินเกือบ 3 ล้านบาทและต้องหาเงินค่ายาเดือนละนับหมื่นบาท แต่เมื่อต่อสู้กับโรคร้ายมาได้ กลับมาพบกับวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระรอกที่ 4 การกู้ยืมเงินเพื่อเอามาลงทุนเพื่อต่อสู้ชีวิตอีกครั้งกลับกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่ตามมา วันนี้แม้เงินกินข้าวต้องอาศัยขอญาติและคนใจบุญ แต่ทุกวันนี้ยังกำลังใจดีเพราะเปิดอกคุยกันในครอบครัว แถมพ่วงด้วยลูกสาวบุญธรรมที่มีพรสวรรค์ในการแหล่และร้องเพลง เคยหารายได้เอาค่ายามาช่วยครอบครัวมาแล้ว หวังหาผู้ใหญ่ใจดีผลักดันสู่ถนนดนตรีต่อไป
นายวิสิษฐ์ หรือ อบต.สิษฐ์ เล่าว่า เดิมทีตนเองเป็นนักร้อง นักดนตรี และพิธีกรให้กับวงดนตรีชื่อสไปร์เดอร์ ซึ่งเมื่อ 10 กว่าปีก่อนเป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียงมากในเขตภาคกลางโดยจะรับบันเทิงจนเป็นที่รู้จักของวัยรุ่นและหน่วยงานราชการในยุคนั้น ต่อมาตามยุคนักร้อง นักดนตรีหน้าใหม่ก็เกิดใหม่มามากตนเองจึงได้ผันมาซื้อเครื่องเสียงให้กับวงสไปเดอร์ได้เช่าไปด้วย ซึ่งก่อนที่ตนเองจะป่วยนั้นได้มีความมั่นคงรู้จักและร่วมงานกับศิลปินดาราชื่อดังหลายคน จนคุ้นเคยกัน
อบต.สิษฐ์ เล่าต่อว่า แต่เมื่อช่วงปี 54 ตนเองมาตรวจพบว่าเป็นโรคไตวาย ระยะสุดท้ายต้องทำการฟอกไต วันเว้นวันซึ่งต้องหยุดงานเพื่อมารักษาตัวกระทั่งทีมแพทย์ลงความเห็นว่าต้องเปลี่ยนไต ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนหัวใจไปพร้อมกันด้วย หลังจากฟอกไตมาหลายปี กระทั่งปี 63 ได้รับการเลือกให้รับอวัยวะเปลี่ยนไตเพราะไม่นานหากไม่เปลี่ยนก็จะเสียชีวิตแน่นอนจึงได้รับตัดสินใจทันที ซึ่งการรักษานั้นต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานหลายเดือนและผ่าตัดจนนับจำนวนไม่ได้ ซึ่งกว่าจะผ่านวิกฤติมาได้ ก็ถือว่าหนักหนามาก โดยรายได้ก็ยังมีเข้ามาจากการให้เช่าเครื่องดนตรี และภรรยาก็ทำงานเป็นผู้จัดการวงดนตรีให้กับศิลปินมีรายได้หลายทาง ซึ่งยังมีลูกน้องอีก 10 กว่าคนที่ต้องดูแล
แต่ต่อมาช่วงที่กำลังพักฟื้นร่างกาย จู่ๆภรรยาก็พบความผิดปกติในร่างกายจึงได้ไปตรวจแต่กาพบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ ในระยะสุดท้าย ซึ่งทำให้ต้องรักษาตัวทั้งคู่ไปพร้อมกัน โดยมมีลูกชายของตนเองคอยดูแลเรื่องการจัดให้เช่าเครื่องเสียงและยังมีลูกบุญธรรมอีกคนที่ต้องเลี้ยงดูไปด้วย ซึ่งตอนนี้เป็นสภาวะที่ทนมานทั้งกายและใจ แต่สุดท้ายผมกับภรรยาก็ได้รักษาตัวจนผ่านความตายมาได้อย่างเฉียดฉิว ซึ่งหลังจากหายป่วยก็คิดว่าจะกลับมาต่อสู้ชีวิตอีกครั้ง โดยการไปซื้อเครื่องเสียง มาอีก 6 แสนกว่าบาท รวมกับอุปกรณ์เดิมที่มีอยู่แล้วทำให้มีเครื่องเสียงในมือ ราว 2 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการรับงานดูแลครอบครัวและลูกน้องทั้งหมด
อบต.สิษฐ์ เล่าถึงช่วงพลิกผันของชีวิตอีกว่า หลังได้ลงทุนไปแล้วร่างกายก็พอที่จะทำงานได้ ปรากฏว่าเป็นช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระรอกที่ 4 พอดิบพอดีงานที่เคยรับไว้ข้ามปีถูกยกเลิกทั้งหมดและเงินมัดจำที่ลูกค้าวางไว้แล้วก็ได้นำมาซื้อยาฟอกไตจนหมด ปัญหาที่เกิดกลายเป็นว่าเงินข้างหน้าหายหมด เงินที่กู้มาซื้อบ้าน รถ และเครื่องเสียงราว 3 ล้านบาท ไม่สามารถจ่ายได้ แม้กระทั่งเงินที่จะไปฟอกไต ก็ยังต้องไปหยิบยืมคนรอบตัวซึ่งยังมีกำนัน ผู้นำชุมชนที่สงสารได้แชร์มาช่วยตนเองให้ไปรักษาชีวิตไว้ก่อน ซึ่งถึงวันนี้เงินเก็บทั้งหมดก็หมดกระเป๋า ยังไม่รู้จะทำยังไงต่อไป แต่ผมกับครอบครัวไม่หมดกำลังใจเพราะเรามีกำลังใจและคนรอบข้างที่ให้กำลังใจเรามาตลอด
“ผมไปไม่เป็นไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้ คิดจะขายเครื่องเสียงก็ไม่มีใครที่เขาจะรับซื้อเพราะเขาก็ไม่มีงาน ของที่มีเกือบ 2 ล้านบาท ขาย 5แสนก็ไม่มีใครเอาลูกน้องก็ต้องแยกย้ายแต่ผมจะสู้ต่อกับภรรยาและลูก ข่าวจะกินยังลำบากซึ่งดีที่ครอบครัวเราเข้าใจกันมาก ยิ่งน้องต้นข้าวลูกบุญธรรมเข้าเป็นเด็กดีและมีความสามารถในการร้องเพลงและแหล่ ได้ก่อนจะล๊อคดาวน์รอบนี้เขายังประกวดร้องเพลงและไปรับงานร้องเพลงเอาเงินมาช่วยให้ผมซื้อยาและฟอกไตได้ แต่ตอนนี้ก็หมดวันนี้ไม่รู้จะทำยังไงแต่ผมจะสู้จนกว่าจะได้กลับมาทำงานอีกครั้ง ส่วนน้องต้นข้าวอยากให้ผู้ใหญ่ใจดีผลักดันเขาต่อในสิ่งที่เขารักและมีพรสวรรค์ ผมก็ขอแค่นี้” อบต.สิษฐ์ เล่าถึงสถานการณ์ให้ฟัง
ด้านนางสุภาพร พวงสกุล อายุ 51 ปี บอกว่าตอนนี้เงินที่บ้านก็หมดเหมือนหลายๆครอบครัว เดิมทีตนเองทำงานร่วมกับศิลปินดังหลายคนเช่น เอกราช สุวรรณภูมิ , ตั๊กแตน ชลลดา ไปทัวร์คอนเสิร์ตกันทั่วประเทศ จนสามีป่วยจึงได้ออกมาและมาเป็นลูกจ้างอบต. แถวบ้าน ซึ่งการรู้สึกว่าเมื่อมาเป็นมะเร็งครั้งแรกเสียใจแต่ตั้งสติและคุยกันว่าต้องสู้ โดยมีกำลังใจ คือลูก ตอนนี้ก็ต้องอาศัยบัตรเครดิต บัตรกดเงินสดซึ่งเต็มวงเงินไปหมดแล้ว ซึ่งวันนี้คิดว่าถ้าไม่ตายก็จะไม่ยอมแพ้และจะสู้เพื่อดูแลครอบครัว “อยากจะฝากถึงเพื่อนๆ กับทุกคนว่าอย่าเพิ่งท้อถ้ายังไม่ตาย เราจะผ่านจุดนี้ไปให้ได้ ขอให้ทุกคนอดทนเพราะตนเองก็ผ่านมาแล้วกำลังเจอปัญหาเชื่อว่าเราจะกลับมาได้แน่นอน”
นางสุภาพร บอกอีกว่า ตั้งแต่รับน้องต้นข้าวมาเลี้ยงดูก็เหมือนมาเติมเต็มชีวิตไม่ดื้อเรียนพอใช้ได้ แต่มีความสามารถในการร้องเพลงและแหล่ได้ ซึ่งเราไม่เคยสอนแต่ก็ทำออกมาได้น่าพอใจ วันที่เงินเราหมดไปรอบที่แล้ว น้องก็ไปสมัครออกรายการทีวีแข่งร้องเพลงได้เงินมา 3 หมื่นบาท ซึ่งพ่อเขาก็ต้องไปฟอกไตพอดีช่วงนั้นก็สามารถช่วยให้ผ่านวิกฤติมาได้ ซึ่งวันนี้ครอบครัวเรากำลังสู้วิกฤติด้วยความรักและความเข้าใจซึ่งอยากจะให้ครอบครัวอื่นๆ ต่อสู้และอดทนแบบที่เราทำแม้จะยังไม่รู้ชะตากรรมข้างหน้าต่อไปให้ได้
ด.ญ.ณัฐวิกา พริ้งสุวรรณ อายุ 11 ปี น้องต้นข้าว บอกว่าดีใจที่ได้มาเป็นลูกบุญธรรมที่ครอบครัวนี้ และได้รับความรักเหมือนลูกจริงๆ ซึ่งช่วงที่แม่กับลุงสิษฐ์ ป่วยก็เครียดมากเพราะกลัวเขาจะเป็นอะไรไป ช่วงที่เขาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็ต้องนอนคนเดียว และนอนร้องไห้หลายคืนเพราะสงสารแม่ หนูชอบร้องเพลงจาการดู ยูทิวบ์ จนมาฝึกร้องเองก็พอร้องได้ ซึ่งศิลปินที่ชอบคือ แม่พุ่ม พุ่มพวง ดวงจันทร์ เป็นคนที่เป็นไอดอล หนูอยากทำงานได้จะเอาเงินมาดูแลเขาและรีบใช้หนี้ทุกบาททุกสตางค์ให้ โดยสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี
“มีคนมาล้อแม่ ช่วงที่ผมร่วงหนูเสียใจไม่ตอบโต้ไม่อยากมีเรื่อง ก็อดทนเก็บไว้ ไม่บอกใคร ทุกวันนี้ก็ลำบากอยากกินอะไรก็ไม่ได้อย่างที่คิดแต่ก็ไม่คิดมากเพราะรู้ว่าบ้านเราเป็นยังไง ของที่เพื่อนๆมี เป็นคอมพิวเตอร์ สำหรับเรียนออนไลน์ที่เพื่อนมีกันก็ไม่มี ใช้แต่มือถือซึ่งตอนนี้จอมันแตกก็ใช้ไปก่อนไม่ได้ไปบอกพ่อกับแม่ว่ามันมองไม่ชัด และขอบคุณที่ทั้งคู่เลี้ยงหนูมาเป็นอย่างดี ตอนนี้อยากร้องเพลงเอาเงินมาช่วยให้มีข้าวที่บ้านกินกันไปก่อน” น้องต้นข้าว บอกปิดท้าย