In News

นายกฯแถลงกวาดล้างแก๊งค์ส่วยสัญชาติ 'ตัดหมอกเวียงแหง'ที่เวียงแหง-เชียงใหม่



กรุงเทพฯ-นายกรัฐมนตรี แถลงผลการดำเนินคดีกับขบวนการนำคนต่างด้าวมาสวมตัว และทำหลักฐานเท็จในพื้นที่ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ และผลปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการทำงานทุกภาคส่วน ขอประชาชนร่วมแจ้งเบาะแส และต่อต้านยาเสพติด เพื่อปกป้องลูกหลาน-สังคมให้ปลอดภัยจากยาเสพติด

วันนี้ (20 พ.ย.68) เวลา 10.40 น. ณ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ต.หนองหอย อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงผลการดำเนินคดีกับขบวนการนำคนต่างด้าวมาสวมตัว และทำหลักฐานเท็จในพื้นที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และผลปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และพล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมแถลงข่าว โดยมีสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย

 เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้ขึ้นแท่นรับความเคารพจากกองเกียรติยศ ตำรวจภูธรภาค 5 จากนั้นนายกรัฐมนตรี ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ก่อนเดินไปยังห้องประชุมอาคารคุ้มแก้ว - ขวัญดาว ภ.5 เพื่อแถลงผลการดำเนินคดีกับขบวนการนำคนต่างด้าวมาสวมตัว และทำหลักฐานเท็จในพื้นที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และผลปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรี เดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อมารับฟังผลการปฏิบัติการ และยืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาการทุจริต ที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศอย่างจริงจัง และไม่ประนีประนอม ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีการทุจริตเรียกรับผลประโยชน์ ในการขอมีสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 ตุลาคม 2567 ซึ่งสื่อมวลชนเรียกว่า “ส่วยสัญชาติ ”  รัฐบาลเห็นว่า นี่คือการบ่อนทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม และเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศโดยตรง จึงได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาโดยทันที

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้ 5 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการปกครอง ตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้บูรณาการเปิดปฏิบัติการ “ตัดหมอกเวียงแหง” เพื่อตรวจสอบและปราบปรามขบวนการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิอาศัยถาวรแก่คนต่างด้าวโดยมิชอบ และจากการสืบสวนขยายผล พบว่าขบวนการนี้มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มจีนเทา ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

นายกรัฐมนตรีได้เท้าความถึงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับส่วยสัญชาติดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงที่นายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่ช่วงที่เริ่มกระบวนการยื่นขอสถานะ นายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในตำแหน่งใดของฝ่ายบริหาร เมื่อกลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเต็มตัว จึงได้สั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการตรวจสอบ และเอาผิดผู้กระทำผิดทันที เหมือนกรณีที่อำเภอฝาง ซึ่งมีผู้ใหญ่บ้านเรียกรับเงินจากผู้มีสิทธิ ปัจจุบันถูกลงโทษให้ออกจากราชการแล้ว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความน่าอับอาย และเป็นความเลวร้าย เพราะขบวนการนี้ (ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐบางรายร่วมอยู่) ได้ไปหาประโยชน์จากสิทธิของประชาชนกลุ่มเปราะบางกว่า 4.8 แสนคน ที่รอคอยสถานะทางกฎหมาย และสัญชาติไทยมากกว่า 30 - 40 ปี ทั้งที่ประเทศไทยได้รับการชื่นชมจาก UNHCR ในการยุติสถานะไร้รัฐไร้สัญชาติ แต่กลับมีผู้ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากความเดือดร้อนของคนกลุ่มนี้

“ที่สำคัญคือ มีการใช้ช่องว่างของระบบทะเบียนราษฎร และระบบสัญชาติ ไปเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มจีนเทา นี่คือเรื่องที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการเปิดทางให้อาชญากรรมข้ามชาติและธุรกิจผิดกฎหมายเข้ามาปลอมแปลงตัวตน และมีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งรัฐบาลจะทำทุกทางเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก”

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากข้อมูลของกรมการปกครอง และหน่วยงานที่ร่วมสอบสวน พบว่าอำเภอเวียงแหง เป็นพื้นที่ที่มีการทำทุจริตลักษณะนี้มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2554 เคยมีการจับกุมปลัดอำเภอในคดีลักษณะเดียวกัน ถูกลงโทษจำคุก 5 ปี รวมถึงคดีในปี 2563 แต่กลับเกิดขึ้นซ้ำอีกในปีนี้ นี่คือเหตุผลที่ต้อง “ล้างบาง” ให้สิ้นซาก ไม่ให้มีการกระทำผิดซ้ำอีก การจับกุมครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่กระทรวงมหาดไทยออกหมายจับระดับ “นายอำเภอ” ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในระบบทะเบียนราษฎร ซึ่งสะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์ของรัฐบาลว่า เราตั้งใจจริง เอาจริง และจะไม่ปกป้องคนผิด ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม

นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนยันว่า เราจะเดินหน้าแก้ไขปัญหานี้อย่างเด็ดขาด ทำบ้านของเราให้สะอาด ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน และปกป้องความมั่นคงของประเทศไทยอย่างเต็มกำลัง

จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงผลการปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ใช้เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดจากนอกประเทศเข้าสู่ประเทศไทย และกระจายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ

ทั้งนี้ ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานด้านความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ปปส. รวมถึงฝ่ายปกครอง ได้บูรณาการกำลังอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งด้านข่าวกรอง การปิดล้อมตรวจค้น การสกัดกั้นตามเส้นทางธรรมชาติ และการขยายผลไปถึงผู้สั่งการและเครือข่ายทางการเงิน

โดยผลการปฏิบัติการในรอบล่าสุด มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถยึดของกลางยาเสพติดเป็นจำนวนมาก ทั้งยาบ้า ยาไอซ์หลายรายการ และสามารถจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการลำเลียงและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมพยานหลักฐานที่สามารถนำไปขยายผลต่อยอดได้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ด้วยปฏิบัติการ “ตัดวงจรทั้งระบบ” ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ลำเลียง ผู้ค้ารายย่อย ไปจนถึงเครือข่ายการเงินที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด

“ขอชื่นชม เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้เกี่ยวข้องทุกนาย ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น เสียสละ และทุ่มเทแรงกายแรงใจ ในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของทุกท่าน ถือเป็นแบบอย่างแห่งความรับผิดชอบ และเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้สังคมไทยปลอดภัยและปลอดยาเสพติดอย่างยั่งยืน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค 5 และหน่วยงานของรัฐทุกภาคส่วน ขอเชิญชวนประชาชนทุกคน ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจสำคัญนี้ ทั้งการแจ้งเบาะแส ดูแลคนในครอบครัวด้วยความรักความเข้าใจ สนับสนุนการบำบัด และร่วมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด เพื่อปกป้องลูกหลานของเราและเพื่อสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ตรวจดูของกลางและรับทราบรายงานความสำเร็จของการดำเนินการ “ปฏิบัติการตัดหมอกเวียงแหง” การดำเนินคดีกับขบวนการนำคนต่างด้าวมาสวมตัว และทำหลักฐานเท็จ ในพื้นที่ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ และผลการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติดคดีรายสำคัญ ในพื้นที่ ภ.5 จำนวน 3 คดี ดังนี้

1. สภ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย ตรวจยึดยาบ้า 6 ล้านเม็ด รถยนต์ 1 คัน 

2. สภ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา จับผู้ต้องหา 1 คน รถยนต์ 1 คัน ยาบ้า 5 ล้านเม็ด 

3. กก.สส.ภ.จว.เชียงราย จับผู้ต้องหา 2 คน ตรวจยึดไอซ์ 20 กระสอบ รวมประมาณ 500 กก.

รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ได้ตรวจดูรถยนต์ซึ่งเป็นของกลางในคดียาเสพติดด้วย