Think In Truth
‘นักวิชาการธรรมศาสตร์’เชื่อ‘จีดีพี Q4’ 1.1%ไม่เกินจริงหนุนรัฐปูพรมถกFTA
“นักวิชาการธรรมศาสตร์” เชื่อมีความเป็นไปได้ที่จีดีพีไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 1.1% ชี้แม้ไม่บรรลุผลเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ภายในสิ้นปีก็ไม่ส่งผลกระทบเท่าใดนัก ระบุการทำ FTA กับนานาประเทศ ช่วยลดความกดดันพึ่งพิงตลาดมะกันได้จริง หนุนพาณิชย์เดินหน้าเต็มกำลัง แนะฝ่ายการเมืองให้ความสำคัญการพัฒนาระยะกลาง-ระยะยาว ลงทุนในโครงสร้างเทคโนโลยีและเสริมศักยภาพแรงงานให้มากขึ้น
รศ. ดร.พีระ เจริญพร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4 จะสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รมว.คลัง) ที่ระบุว่าจะอยู่ที่ 1.1% สูงกว่าตัวเลขของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งคาดการณ์ไว้เพียง 0.6% นั่นเพราะกระทรวงการคลังอาจจะมีการนำตัวแปรด้านนโยบายอื่นๆ เช่น โอกาสจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ของกระทรวงพาณิชย์ หรือมาตรการการจัดการหนี้ครัวเรือนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อันมีผลต่อการสร้างความเชื่อมั่นและความกล้าในการลงทุน มาเป็นฐานในการคำนวณมากกว่าเพียงแค่ประเมินการใช้จ่ายของภาครัฐ และส่วนตัวเชื่อว่า แม้ประเทศไทยจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเจรจาทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาได้ทันภายในช่วงสิ้นปี ก็ยังจะไม่กระทบกับจีดีพีไตรมาสที่ 4 เท่าใดนัก
ทั้งนี้ เนื่องจากการเจรจาซื้อขายระหว่างประเทศจะมีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ฉะนั้นถึงแม้ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีการเปลี่ยนแปลงกรอบอัตราภาษีก็อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าทางการค้ามาก แตกต่างกับประเด็นความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะหากรัฐบาลไม่สามารถเจรจาให้เกิดความเป็นธรรมกับประเทศไทยได้ในระยะยาว นักลงทุนต่างชาติจะไม่กล้าเข้ามาลงทุนในประเทศที่ไม่สามารถสร้างแต้มต่อในกระบวนการเจรจาได้
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าจีดีพีในระยะสั้นจะยังไม่มีปัจจัยบวกแต่ก็ยังสามารถกระตุ้นได้ด้วยมาตรการต่างๆ อาทิ การใช้จ่ายภาครัฐที่เป็นไปเพื่อการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การลดภาระหนี้ครัวเรือนเพื่อกระตุ้นการบริโภค การจูงใจโดยให้บริษัทที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีโอกาสลงทุนได้เร็วขึ้นผ่านการให้ Fast Track ต่างๆ ตลอดจนการที่รัฐบาลช่วยลงทุนนำในเมกะโปรเจกต์ต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เอกชนไทยกล้าลงทุนมากขึ้น
“ในระยะกลาง สิ่งที่ควรดำเนินการต่อคือการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ที่ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานของไทยสูงกว่าประเทศอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ที่เวียดนามมีการปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไปกว่า 800 ฉบับแล้ว และเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ภาครัฐ ภาคเอกชน ควรจะต้องลงในทุนในเชิงโครงสร้าง เช่น มีการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ และต้องลงทุนในคน เช่น ต้องเสริมสร้างทักษะแรงงานเพื่อนำมาชดเชยกับจำนวนแรงงานที่ลดน้อยลง จึงอยากจะฝากพรรคการเมืองต่างๆ ที่จะเข้าสู่การเลือกที่ใกล้จะถึงได้ให้ความสำคัญกับการหาเสียงในสิ่งเหล่านี้มากขึ้น แทนที่เราจะหาเสียงด้วยความกลัว เราควรหาเสียงด้วยความฝันถึงทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคต” รศ. ดร.พีระ กล่าว
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปด้วยว่า ทุกฝ่ายควรจะเรียนรู้บทเรียนจากการมีรัฐมนตรีคนนอกที่ไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพซึ่งมีศักยภาพ มีความความสามารถตรงตามภารกิจความรับผิดชอบของตนเอง จะเห็นได้ว่าการขับเคลื่อนหลายๆ นโยบายของรัฐมนตรีคนนอกจะไม่ได้ทำเพื่อมุ่งหวังคะแนนนิยมทางการเมือง แต่มุ่งหวังที่จะแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดอย่างยั่งยืน ขณะนี้ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นภาคประสังคม สื่อสารมวลชน ภาคการศึกษาพูดตรงกันว่าการบริหารประเทศนับจากนี้ไม่สามารถมองเพียงแค่ผลประโยชน์ระยะสั้นได้อีกต่อไป แต่จะต้องมองทิศทางการพัฒนาในระยะกลาง ระยะยาวควบคู่ไปด้วยกัน
รศ. ดร.พีระ กล่าวอีกว่า การเดินหน้าปิดดีลข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-แคนาดา และไทย-เกาหลีใต้ รวมถึงประเทศอื่นๆ ของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รมว.พาณิชย์) จะเป็นส่วนช่วยที่สำคัญและสามารถลดความกดดันทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างมาก ตัวอย่างที่ชัดเจนคืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามและมาเลเซียที่ดีกว่าไทย ก็เป็นผลมาจากการที่สองประเทศนี้มีจำนวน FTA ที่มากกว่าไทย จึงมีอัตราการส่งออกที่สูงกว่าไทย จึงขอสนับสนุนให้กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าเจรจา FTA กับประเทศต่างๆ อย่างเต็มที่
“ที่ผ่านมาไทยมีรัฐบาลที่ไม่ได้มาตามกระบวนการทางประชาธิปไตย จึงส่งผลให้หลายประเทศไม่ต้องการที่จะทำการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีด้วย แต่ปัจจุบันหลายประเทศกำลังเดือดร้อนจากการถูกกีดกันทางการค้าโดยสหรัฐฯ จึงเชื่อว่าหลายประเทศเริ่มเปิดใจและอยากทำข้อตกลง FTA ร่วมกัน ฉะนั้นท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้นอาจเป็นโอกาสของไทยในการเร่งดำเนินการเจรจา FTA กับประเทศต่างๆ” รศ. ดร.พีระ กล่าว
รศ. ดร.พีระ กล่าวว่า แน่นอนว่าปัจจัยทางการเมืองย่อมส่งผลโดยตรงกับตัวเลขทางเศรษฐกิจ ดังนั้นหากการเมืองในรัฐบาลชุดต่อไปมีเสถียรภาพมากขึ้น ก็จะสามารถสร้างบรรยากาศความเชื่อมั่นในการลงทุนได้ และจะทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมดำเนินไปในทิศทางที่ดี และเชื่อว่ารัฐบาลชุดถัดไปก็จะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นไม่ต่างไปจากสิ่งที่รัฐบาลในขณะนี้ การดำเนินการ อาทิ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ มาตรการจัดการแก้ปัญหาเรื่องหนี้เสียผ่านการตั้งบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ การกระตุ้นให้คนที่มาขอรับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อให้เกิดการลงทุนจริงๆ แต่ก็ควรจะทำให้เงื่อนไขที่ช่วยพัฒนาประเทศที่สูงขึ้นและมองผลกระทบในระยะยาวมากขึ้น
