In News
นายกฯแนะปรับกรอบความคิดบน3ปัจจัย ดันศักยภาพไทยสู่ผู้นำ4อุตสากรรมสำคัญ
กรุงเทพฯ-นายกฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “Foreign Industrial Club (FIC) Gala Dinner 2025” ผลักดันยุทธศาสตร์ 3D ยกระดับเศรษฐกิจไทย ควบคู่การเสริมแกร่ง SMEsชูไทยเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ การแพทย์ สุขภาพ และอาหาร ตอกย้ำความพร้อมสู่การเป็นสมาชิก OECD
วันนี้ (วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2568) เวลา 20.20 น. ณ ห้องนภาลัย แกรนด์ บอลรูม โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Foreign Industrial Club (FIC) Gala Dinner 2025 ภายใต้หัวข้อ “Leading Thailand Through Global Challenges” เพื่อนำเสนอทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทยให้สามารถก้าวข้ามความท้าทายของโลกยุคใหม่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมด้วยโดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้กล่าวต้อนรับและยินดีอย่างยิ่งที่นายกรัฐมนตรีให้เกียรติมาร่วมงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในครั้งนี้ พร้อมเน้นย้ำความมุ่งมั่นของ ส.อ.ท. ในการผลักดันประเทศไทยให้พร้อมรับมือกับความท้าทายของเศรษฐกิจโลก และก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย โดย ส.อ.ท. เดินหน้าผลักดันนโยบาย “4 Go” ได้แก่ 1) Go Digital & AI ยกระดับอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ 2) Go Innovation สร้างผู้ประกอบการ “จิ๋วแต่แจ๋ว” ด้วยนวัตกรรม 3) Go Global พัฒนาสินค้าและบริการไทย ขยายโอกาสสู่ตลาดโลก และ 4) Go Green ขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและการปรับตัวสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 โดยเชื่อมั่นว่าแนวคิด 4 Go จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย ทั้งอุตสาหกรรมดั้งเดิมและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ดึงดูดนักลงทุน และสร้างความเชื่อมั่นให้ทั่วโลกเห็นถึงศักยภาพของไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีต่อการจัดงานในครั้งนี้ พร้อมย้ำว่า ท่ามกลางสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ภายใต้ภาวะวิกฤติซ้อนวิกฤติ (Polycrisis) ซึ่งมีความซับซ้อนมากกว่าที่เคยเป็นมา ประเทศไทยไม่ได้กำลังเข้าสู่ “วิกฤติ“ แต่กำลังเข้าสู่ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” ซึ่งไทยสามารถกำหนดทิศทางอนาคตของตนเองได้อย่างมั่นคง พร้อมเสริมสร้างศักยภาพของประเทศให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยการบริหารจัดการช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้ไทยสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส และก้าวสู่การเติบโตในระยะยาวได้อย่างมั่นคง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การขับเคลื่อนประเทศให้สามารถก้าวผ่านพลวัตและความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่อย่างมั่นคง จำเป็นต้องเริ่มจากการปรับกรอบความคิด ไม่ยึดติดแนวทางเดิม และเดินหน้ากำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ที่ตั้งอยู่บนสามปัจจัยสำคัญที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนอนาคต ได้แก่ 1) การกระจายความเสี่ยง (Diversification) ซึ่งเป็นการลดการพึ่งพาตลาดหรืออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไทยขยายความร่วมมือทางการค้าไปยังภูมิภาคต่าง ๆ อาทิ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรปตะวันออก เอเชียใต้ และลาตินอเมริกา 2) การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digitalization) ด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ตลอดจนการเสริมสร้างทักษะดิจิทัลให้กับประชาชน และ 3) การลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) เพื่อเตรียมประเทศให้พร้อมต่อมาตรฐานห่วงโซ่อุปทานสีเขียวของโลก
นอกจากนี้ รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนหลายประการ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น “รันเวย์” สำหรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มั่นคงในระยะยาว เพื่อให้ไทยสามารถก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบันและเดินหน้าสู่บทบาทของผู้นำได้อย่างแท้จริง โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยมีศักยภาพโดดเด่นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำใน 4 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ไทยเป็นผู้นำอาเซียนและกำลังพัฒนาสู่การสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบวงจร 2) อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยไทยตั้งเป้าเสริมบทบาทในห่วงโซ่อิเล็กทรอนิกส์โลกในด้านบรรจุภัณฑ์ การทดสอบ และการผลิตชิปชนิดพิเศษ 3) อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพที่ไทยมีศักยภาพโดดเด่นทั้งด้านความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ การฟื้นฟูสุขภาพ ตลอดจนการดูแลผู้สูงอายุ และ 4) อุตสาหกรรมอาหาร เช่น โปรตีนทางเลือก เกษตรแม่นยำ นวัตกรรมฮาลาล และการผลิตที่ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งล้วนเป็นโอกาสให้ไทยสามารถก้าวสู่การเป็นครัวของโลกอย่างแท้จริง
นายกรัฐมนตรียังระบุว่า ความสำเร็จในการก้าวเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจาก SMEs ที่แข็งแกร่ง รัฐบาลจึงมุ่งเสริมศักยภาพ SMEs ผ่านการขยายโอกาสในเข้าถึงแหล่งเงินทุน ลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ ส่งเสริมการปรับตัวสู่ดิจิทัล และเชื่อมโยงผู้ประกอบการ SMEs เข้ากับห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่อย่างเป็นระบบ พร้อมเดินหน้าโครงการ DIPROM FLEXi ควบคู่กับการพัฒนาระบบรัฐบาลดิจิทัลที่ช่วยลดขั้นตอน เพิ่มความโปร่งใส และเปิดโอกาสให้นักธุรกิจเติบโตได้เต็มศักยภาพ จะเป็นส่วนสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้ SMEs ไทยสามารถปรับตัวและแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นสมาชิก OECD เพื่อยกระดับมาตรฐานของประเทศให้สอดคล้องกับหลักสากลที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใส ความเป็นธรรม และการส่งเสริมการลงทุนในระยะยาว อีกทั้งการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนและผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคที่ผ่านมา ถือเป็นการตอกย้ำว่าไทยพร้อมทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงความร่วมมือของภูมิภาคเอเชีย เพื่อเสริมสร้างความมั่นคง การเติบโตทางเศรษฐกิจ และโอกาสใหม่ร่วมกันในอนาคต ทั้งนี้ ไทยยืนยันความพร้อมในการทำงานร่วมกับประเทศต่าง ๆ ที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในด้านนวัตกรรม ความเปิดกว้าง และความมั่งคั่งในระยะยาว
อนึ่ง งาน Foreign Industrial Club (FIC) Gala Dinner จัดขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อเป็นเวทีพบปะหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนไทย และบริษัทต่างชาติที่ลงทุนในประเทศไทยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม การค้าและการลงทุน เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างกัน อันจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทย โดยงานดังกล่าวได้รับความสนใจจากภาครัฐและภาคเอกชน สถานเอกอัครราชทูต สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 คน อาทิ กลุ่มหอการค้าต่างประเทศ เช่น JFCCT AMCHAM Franco JETRO และ TTBA สภาธุรกิจ สมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนักลงทุนขนาดใหญ่ในพื้นที่ EEC
