In News

นายกฯชื่นชมชรบ.ชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำให้7จว.นำใช้แผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง



กรุงเทพฯ-นายกฯ อนุทิน ชื่นชมเจ้าหน้าที่ ชรบ. ชายแดนไทย–กัมพูชา ย้ำให้ 7 จังหวัดนำแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ไปปฏิบัติในทุกหมู่บ้าน

วันนี้  (4 ธันวาคม 2568)  เวลา 16.00 น. ณ โดมอเนกประสงค์ เทศบาลตลาดนิคมปราสาท ตำบลปราสาท อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  เป็นประธานมอบนโยบายในการรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดนและพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง หลักสูตรผู้บังคับบัญชาและครูฝึกชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) พื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา โดยมีนายภราดร  ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ปลัดนายอำเภอ พร้อมด้วยผู้เข้าร่วมหลักสูตรผู้บังคับบัญชาและครูฝึกชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) จาก 7 จังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา (ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี) ประมาณ 2,500 นาย เข้าร่วมรับฟังนโยบาย  

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าได้เห็นความเข้มแข็งของทุกคนที่พร้อมจะดูแลประชาชนหากเกิดสถานการณ์ใด ๆ ซึ่งทุกคนจะเป็นกำแพงที่จะทำให้พื้นที่ส่วนหลัง คือ ประชาชน บ้าน รวมถึงเขตอธิปไตยของไทยมีความเข้มแข็ง แม้ปัจจุบันจะยังไม่เกิดสถานการณ์ใดๆ เพราะมีการจัดการพื้นที่พิพาท ด้วยการปักหมุดชั่วคราว โดยการใช้เทคโนโลยีที่เป็นวิทยาศาสตร์ และแม้  สถานการณ์จะมีแนวโน้มเดินหน้าได้ตามแผน แต่ไทยต้องไม่ประมาท ต้องมีความพร้อมเพื่อความปลอดภัยของประชาชน และอย่าลืมว่า ภัยที่อาจเกิดขึ้นได้นั้น ไม่ได้มีแค่ภัยความมั่นคง แต่ยังมีภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้น ชรบ. ซึ่งมีหน้าที่หลักในการดูแลประชาชน จึงต้องเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่อง  

การได้พบผู้แทนจากพื้นที่ชายแดนทั้ง 7 จังหวัดวันนี้ แม้จะไม่สามารถเดินทางไปพบประชาชนในทุกจังหวัดได้ แต่การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 7 จังหวัด เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้ ถือเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนและพี่น้อง ชรบ. ในพื้นที่ชายแดนทั้งหมด โดยนายกฯ ยังได้กล่าวชื่นชมทุกจังหวัดที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อม ความตั้งใจ และความมุ่งมั่นที่จะปกป้องแผ่นดินไทยและอธิปไตยของชาติ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะบริเวณแนวหน้าตามแนวชายแดนเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “พื้นที่ส่วนหลัง” อันเป็นพื้นที่สำคัญในชีวิตของประชาชน การดูแลพื้นที่ส่วนหลังให้มั่นคงปลอดภัย เป็นสิ่งที่ช่วยให้กองกำลังทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนสามารถทำงานได้อย่างไร้ความกังวล วันนี้ พลังของทุกคนคือคำตอบที่ชัดเจนต่อกำลังทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนว่า ไม่ต้องกังวลข้างหลัง เราจะดูแลให้เอง ทุกคนที่ดูแลพื้นที่ส่วนหลังล้วนมีหน้าที่ร่วมกันในการคุ้มครองประชาชน ชุมชน โรงเรียน วัด และบ้านเรือนต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นหัวใจของความมั่นคงทั้งระบบ

นายกรัฐมนตรีได้ขยายความในเชิงนโยบาย ดังนี้

ประการแรก กองทัพมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติในแนวหน้า ส่วน “ฝ่ายปกครอง” มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กันใน “แนวหลัง” เพื่อดูแลหมู่บ้านและชุมชนให้สงบเรียบร้อย โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ชายแดนมีความตึงเครียด แนวหลังต้องพร้อมทันที ทั้งการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ชุมชน การอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง การซักซ้อมแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน รวมถึงการเตรียมกำลังและทรัพยากรเพื่อระดมความช่วยเหลือได้ทันที ทั้งนี้ ทุกฝ่ายมีประสบการณ์จากเหตุการณ์ในช่วงกว่า 3 เดือนที่ผ่านมา ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่พิสูจน์ความพร้อมของภาครัฐในทุกระดับ เมื่อเกิดเหตุการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลและฝ่ายปกครองตัดสินใจอพยพประชาชนไปยังสถานที่ปลอดภัยทันที ความพร้อมเกิดขึ้นตั้งแต่นาทีแรกที่เราตัดสินใจอพยพพี่น้อง

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การดูแลประชาชนหลายหมื่นครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างดีที่สุด พร้อมกล่าวชื่นชมผู้ว่าราชการจังหวัดที่ร่วมมือในช่วงวิกฤต โดยไม่กังวลผลกระทบทางการเมือง เพราะ “เมื่อมีภัย ไม่มีฝ่ายค้าน–รัฐบาล มีแต่ประชาชนที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ” พร้อมระบุว่า จังหวัดบุรีรัมย์ทำหน้าที่เสมือน “ครัวใหญ่” กระจายสิ่งของไปยังทุกพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว แผนปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนต้องชัดเจน เป็นลำดับขั้น ขณะที่กองทัพยังคงเดินหน้ารักษาอธิปไตยตามแนวชายแดนอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องประเทศ

ประการที่ 2 บทบาทของฝ่ายปกครองและกองกำลังภาคประชาชน คำว่าความมั่นคงไม่ใช่เป็นเพียงภารกิจของฝ่ายทหาร กองทัพเพียงอย่างเดียว สำหรับชุมชน คนที่พี่น้องประชาชนต้องคิดถึงเป็นคนแรก คือผู้ใหญ่บ้าน  ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฝ่ายรักษาความสงบ (ผรส.) และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ต้องมีความพร้อมในการสื่อสารในการเข้าถึงซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา

ประการที่ 3 การเตรียมพร้อมตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังที่ใช้อยู่ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา มีองค์ประกอบสำคัญหลายประการ และที่จะเน้นย้ำเพื่อให้ทุกหน่วยได้นำไปขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ดังนี้

การแบ่งบทบาทหน้าที่ของกำลังพล 4 แนว แบ่งเป็น แนวที่ 1 คือพื้นที่แนวรบและแนวปะทะ ส่วนนี้ทหารเป็นกำลังหลักในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ แนวที่ 2 พื้นที่สนับสนุนการรบ กองอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) เป็นกำลังสำคัญ ทำหน้าที่เชื่อมระหว่างแนวหน้าและพื้นพื้นที่ส่วนหลัง แนวที่ 3 พื้นที่หมู่บ้าน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผรส. ชรบ. และ อปท. ทำหน้าที่ดูแลความสงบ การเฝ้าระวัง การแจ้งเตือนเหตุผิดปกติ การอพยพ และประสานงานในทุกสถานการณ์ และแนวที่ 4 การเตรียมศูนย์พักพิงและการอพยพประชาชน ให้เป็น “จุดรวมพลัง” ของหน่วยงานที่ต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อให้ประชาชนที่เข้ามาพักพิงปลอดภัยสูงสุด ซึ่งศูนย์พักพิงต้องจัดการอย่างครบวงจรตั้งแต่ก่อนที่ประชาชนจะมาถึง ทั้งเรื่องอาหารคุณภาพดี เหมาะสมกับสิทธิความเป็นมนุษย์ ระบบที่นอน รวมถึงการสื่อสารและข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว ถูกต้อง และพร้อมใช้ทันทีเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเน้นย้ำมาตรฐานคุณภาพชีวิตของผู้พักพิงที่ไม่ควรถูกละเลย โดยชื่นชมผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ที่สามารถบริหารศูนย์พักพิงได้เป็นต้นแบบ ยืนยันว่า 7 จังหวัดชายแดน ต้องทำได้เช่นเดียวกัน โดยนายกรัฐมนตรียังเน้นให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องระดมกำลังคนและทรัพยากรอย่างเต็มที่ เพื่อให้การบริหารจัดการศูนย์พักพิงเป็นไปอย่างสมบูรณ์ โดยเมื่อระบบพื้นฐานถูกเตรียมไว้ สาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้ามาดำเนินการได้ทันที เพื่อให้ทุกคนทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์

ส่วนเรื่องระบบสื่อสารและข้อมูลข่าวสาร สำหรับศูนย์พักพิงและการบริหารจัดการประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ต้องมีความ รวดเร็ว ถูกต้อง และพร้อมใช้ทันที เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ยืนยันได้จัดเตรียม Starlink และอุปกรณ์สื่อสารจากกองทัพไว้รองรับแล้ว หรือสามารถแจ้งหน่วยที่มีส่วนรับผิดชอบในจังหวัด เขต และส่วนกลางได้ทันที นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำให้ฝ่ายปกครอง เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ และทำงานร่วมกับ ชรบ. นายอำเภอ และปลัดอำเภออย่างใกล้ชิด เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่มีรอยต่อ และเต็มกำลังความสามารถ

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณ ชรบ. ทุกคนที่มาในวันนี้ พร้อมย้ำบทบาทสำคัญในการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังของประชาชน พร้อมกันนี้ยังเน้นย้ำความสำคัญของแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง โดยกล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมมือและเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลชีวิต ทรัพย์สิน และความปลอดภัยของประชาชน แผนดังกล่าวไม่ใช่แค่บนกระดาษ แต่ต้องสามารถปฏิบัติได้จริงในทุกชุมชนด้วย

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แม้หวังให้เหตุการณ์ความรุนแรงไม่เกิดขึ้น แต่ทุกฝ่ายต้องพร้อมรับมือทันที พร้อมย้ำหลักการว่า “แม้รักสงบ แต่ต้องเตรียมรบให้พร้อมสรรพ” เพื่อปกป้องเอกราชและความมั่นคงของประเทศ โดยขอส่งกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานแนวหลัง ทั้งอาสาสมัคร ปกครองท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ให้มั่นใจในการทำหน้าที่ พร้อมยืนยันว่าหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลจะสนับสนุนทุกด้าน ทั้งกำลังพล ทรัพยากร และงบประมาณต่าง ๆ อีกด้วย