Think In Truth
วิกฤตฟองสบู่อเมริกา: สัญญาณการล่ม สลายของดอลลาร์ โดย ฟอนต์ สีดำ
เมื่อปราชญ์การเงินส่งเสียงเตือนจากฝั่งโลกตะวันตก
ในห้วงเวลาที่ตลาดทุนทั่วโลกดูเหมือนจะถูกห้อมล้อมด้วยบรรยากาศแห่งความอิ่มเอมใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่ทะยานสู่จุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง การปรากฏตัวของเสียงเตือนที่แหลมคมจากผู้มากประสบการณ์ระดับโลกจึงเป็นสิ่งที่มิอาจมองข้ามได้ จิม โรเจอร์ส (Jim Rogers) ผู้เป็นตำนานแห่งวงการลงทุนและเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนควอนตัม (Quantum Fund) ร่วมกับจอร์จ โซรอส (George Soros) ได้ออกมายืนยันด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นถึงหายนะทางเศรษฐกิจที่กำลังจะอุบัติขึ้น ซึ่งตลอดเส้นทางอาชีพของเขา การคาดการณ์วิกฤตในอดีตได้พิสูจน์ถึงความแม่นยำจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตานักลงทุนทั่วโลก
โรเจอร์สได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า ตลาดหุ้นอเมริกาในปัจจุบันคือ "ฟองสบู่ลูกโป่งยักษ์" ที่กำลังรอวันแตกสลาย และสิ่งที่น่าจับตามองยิ่งกว่าการประกาศเตือน คือการที่เขากำลังเฝ้ารอจังหวะในการ "ช็อต" (Short Selling) หรือ "แทงสวน" ตลาดอย่างยับเยิน ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ถือเป็นการแสดงท่าทีที่ดุดันและมั่นใจในความล่มสลายของตลาดอย่างหาที่เปรียบมิได้ มุมมองนี้ได้สร้างความย้อนแย้งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง: ขณะที่กระแสทุนทั่วโลกยังคงหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดนิวยอร์กด้วยความเชื่อมั่นในภาพมายาของเศรษฐกิจที่ "ดี" และการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทว่าเหล่ามหาเศรษฐีและ "Smart Money" กลับเลือกที่จะเทขายและถือเงินสดในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังเช่นวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ที่ถือเงินสดในปริมาณมหาศาลที่สุดในประวัติศาสตร์
นี่คือความน่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังผืนพรมแดงแห่งวอลล์สตรีท เมื่อปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนที่โลดแล่นในตลาดมานานกว่า 80 ปี ประกาศเจตจำนงที่จะเดิมพันสวนทางกับกระแสโลก สัญญาณนี้มิได้เป็นเพียงคำบ่นลอย ๆ แต่เป็นแผนการเชิงรุกที่อาศัยโอกาสในการทำกำไรจากขาลง (short selling opportunity) เป็นการตอกย้ำว่า "หุ้นอเมริกา มันไปต่อไม่ไหวแล้ว"
รากเหง้าแห่งปัญหา: ภาระหนี้สินและภาพลวงตาทางเศรษฐกิจ
การวิเคราะห์ของจิม โรเจอร์สได้ฉายภาพอย่างทะลุปรุโปร่งถึง "ปัญหาใหญ่ของโลกตะวันตก" ซึ่งมีแกนกลางอยู่ที่ "หนี้ที่ท่วมหัวจนเอาไม่อยู่" เพื่อประคับประคองโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง สหรัฐฯ ได้ดำเนินนโยบายทางการเงินที่เน้นการพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาอย่างมหาศาล การกระทำดังกล่าวได้ก่อให้เกิด "ภาพลวงตาทางเศรษฐกิจ" ที่ทำให้ราคาสินทรัพย์ทุกประเภทพุ่งสูงเกินความเป็นจริง จนเกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า "Everything Bubble" หรือ "ฟองสบู่ครอบจักรวาล"
อย่างไรก็ตาม โรเจอร์สได้ชี้ให้เห็นถึงข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงมีมูลค่าที่แท้จริง นั่นคือ "Commodities" หรือ "สินค้าโภคภัณฑ์"
แก่นสารของวิกฤตที่เขาวิเคราะห์คือ การเสพติด "ภาพลวงตาของความมั่งคั่ง" ในหมู่ชาวอเมริกัน ตลาดหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นมิได้สะท้อนถึงผลกำไรที่แท้จริงของบริษัท แต่เป็นผลมาจากการ "ปั่น" โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) เมื่อเงินเฟ้อเริ่มควบคุมไม่ได้ และอัตราดอกเบี้ยถูกตรึงค้างเติ่งอยู่บนเพดาน ขณะที่ธุรกิจที่แท้จริงในภาคพื้นดินเริ่มประสบภาวะล้มเหลว แต่ตลาดหุ้นกลับยังคง "ลอยตัวอยู่บนฟ้า"
โรเจอร์สเปรียบเทียบสภาวะเช่นนี้กับ "จุดจบของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในอดีตทุกราย" ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรโรมันหรือจักรวรรดิอังกฤษ ซึ่งล้วนแล้วแต่ "เมามันกับการใช้เงินในอนาคต" จนถึงวินาทีสุดท้าย และเมื่อฟองสบู่แห่งการก่อหนี้แตกสลาย ทุกสิ่งก็จะหายวับไปกับตา ผู้ที่จะรอดพ้นจากหายนะได้คือ "คน ที่ ถือ ของ จริง เท่านั้น" ไม่ใช่เพียงแค่เศษกระดาษหุ้น
วงจรซูเปอร์ไซเคิลครั้งใหม่: การกลับมาของสินค้าโภคภัณฑ์
จิม โรเจอร์สเน้นย้ำคำว่า "Commodities" หรือ "สินค้าโภคภัณฑ์" อย่างหนักแน่น โดยระบุว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ "ซูเปอร์ไซเคิล (Supercycle) รอบใหม่" ที่จะทำให้ "สินทรัพย์ที่จับต้องได้" มีค่าและความสำคัญมากกว่าเทคโนโลยี
ในยามที่เกิดสงครามหรือวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ ความจริงอันไม่โสภาจะปรากฏชัดเจน: หุ้นของบริษัทโซเชียลมีเดียหรือผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่อาจนำมาเป็นอาหารได้ และไม่อาจใช้ขับหนีระเบิดได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทว่า น้ำมัน ข้าว ยางพารา และทองคำ ซึ่งเป็น "ของที่มนุษย์ขาดไม่ได้" และเป็นปัจจัยพื้นฐานแห่งความอยู่รอด
นี่คือคำเตือนที่พุ่งเป้าไปยังผู้ที่มีพอร์ตการลงทุนอัดแน่นไปด้วยหุ้นเทคโนโลยี และเป็นสัญญาณแห่งโอกาสสำหรับประเทศที่มีฐานการผลิตภาคเกษตรกรรมและอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นกลุ่มประเทศที่พร้อมจะ "ร่ำรวย" ในวงจรเศรษฐกิจรอบใหม่นี้
ประเทศไทย: แผ่นดินสวรรค์แห่งความปลอดภัย (Safe Haven)
ท่ามกลางความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลกและวิกฤตหนี้สินในโลกตะวันตก โรเจอร์สกลับมองว่า ประเทศไทยคือ "แผ่นดินทองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก" แนวคิดนี้เกิดจากการวิเคราะห์เปรียบเทียบโครงสร้างทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านและศูนย์กลางทางการเงินอื่น ๆ ในเอเชีย
เมื่อพิจารณา เวียดนาม ซึ่งเป็นที่รักของนักลงทุนจำนวนมากผ่านเลนส์ของโรเจอร์ส จะเห็นภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง การเติบโตของเวียดนามพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นหลัก และต้องอาศัยเม็ดเงินลงทุนต่างชาติอย่างสุดตัว หากเศรษฐกิจอเมริกาพังทลายตามที่โรเจอร์สทำนาย โรงงานในเวียดนามจะไม่มีตลาดรองรับสินค้า ทำให้ประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ในทางตรงกันข้าม โครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีความซับซ้อนและแข็งแกร่งกว่า เรามีภาคเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและสามารถพยุงตัวเองได้ด้วย การบริโภคภายในประเทศ (Domestic Consumption) ที่เป็นรากฐาน
นอกจากนี้ การมองไปยัง สิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก ก็ถูกตั้งคำถามภายใต้บริบทของโลกที่กำลังเกิดการแบ่งขั้ว (Deglobalization) โรเจอร์สเคยเตือนว่า ในยุคที่โลกาภิวัตน์เริ่มคลายตัว ประเทศที่เป็นเพียง "นายหน้ากินค่าต๋งทางการเงิน" ย่อมประสบความยากลำบาก สิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำจืดและอาหาร แต่สำหรับประเทศไทย เราคือประเทศที่ถูกพระพรด้วยความอุดมสมบูรณ์ "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต่างชาติมองไทยเป็น "Safe Heaven ตัวจริง"
ยุทธศาสตร์ไผ่ลู่ลมและมรดกแห่งความมั่นคง
นอกเหนือจากความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและทรัพยากรแล้ว ตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์ ของไทยก็เป็นปัจจัยที่ไม่อาจประเมินค่าต่ำไปได้ จิม โรเจอร์สเองก็เป็นแฟนคลับของเอเชีย โดยเชื่อว่าศตวรรษหน้าคือยุคสมัยของทวีปนี้ แต่เขาก็มีความกังวลต่อความขัดแย้งเชิงภูมิภาค เช่น สงครามจีน-ไต้หวัน หรือความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งประเทศไทยรอดพ้นจากความเสี่ยงเหล่านี้
ประเทศไทยวางตัวเป็นกลางอย่างชาญฉลาด เราเป็นมิตรกับทุกฝ่าย จีนก็รัก อเมริกาก็เกรงใจ นี่คือ "ยุทธศาสตร์ไผ่ลู่ลม" ที่บรรพบุรุษได้วางรากฐานไว้ให้ ทำให้ประเทศไม่เพียงแต่รอดพ้นจากลูกหลงของความขัดแย้ง แต่ยังจะได้รับประโยชน์จากปรากฏการณ์ที่ เงินทุนไหลหนีความวุ่นวาย และเข้ามาพักพิงในบ้านเรา ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตต่าง ๆ ในอดีต นี่คือ "บุญเก่า" ที่ทำให้ไทยเรามีความเหนือกว่าในสถานการณ์โลกที่ผันผวน
บทสรุปและข้อเสนอแนะ: การเตรียมรับมือของคนไทย
วิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้ถูกมองว่าเป็น "วิกฤตของคนรวยที่ก่อหนี้เยอะ" ในโลกตะวันตก การออกมาขู่จะช็อตหุ้นของกูรูระดับโลกเช่นจิม โรเจอร์ส จึงเป็นสัญญาณเตือนภัยที่บ่งชี้ว่า "ระเบิดเวลากำลังทำงาน"
สำหรับคนไทย การรับมือกับสถานการณ์นี้คือการ ภูมิใจและให้ความสำคัญกับรากฐานของประเทศ สิ่งที่ควรยึดถือไว้ให้มั่นคงคือสินทรัพย์ที่จับต้องได้และมีมูลค่าในยามวิกฤต:
- ที่ดินทำกิน: เป็นสินทรัพย์ที่ควรดูแลรักษาไว้ให้ดี
- ทองคำ: เป็นสิ่งที่โลกจะโหยหาในยามที่ความปั่นป่วนเข้าครอบงำ
โรเจอร์สเชื่อว่า ไทยเรามีความได้เปรียบอย่างยิ่ง เนื่องจากเรามีสินค้าเกษตรและอาหารที่โลกขาดไม่ได้ ในขณะที่ประเทศที่พึ่งพาปัจจัยภายนอกสูงกว่าเราอย่างเวียดนามและสิงคโปร์จะเผชิญความท้าทายที่หนักหน่วงกว่ามาก
โดยสรุปแล้ว การวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกชี้ว่าหุ้นอเมริกาคือฟองสบู่ที่กำลังจะแตก ทรัพย์สินเดียวที่จะรอดคือสินค้าโภคภัณฑ์ และประเทศไทยซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำและวางตัวเป็นกลาง จะกลายเป็นที่เนื้อหอมที่สุด มีความเป็นไปได้สูงที่วิกฤตครั้งนี้อาจทำให้คนไทย "รวยขึ้นแบบงง ๆ" ในขณะที่ชาติอื่นต้องมาต่อคิวซื้อข้าวปลาอาหารจากเรา และหลักการที่นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ฝากไว้คือ "ถือได้นานกว่า ก็รวยก่อน"
แหล่งอ้างอิง
- Rogers, J. (2019). A Gift to My Children: A Father's Lessons for Life and Investing. Random House.
- IMF. (2024). World Economic Outlook: Managing Disinflationary Headwinds. International Monetary Fund.
- ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2566). รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย: โครงสร้างการบริโภคภายในประเทศและการพึ่งพาปัจจัยภายนอก. (Bank of Thailand Annual Economic Report).
- Harvey, D. (2017). Seventeen Contradictions and the End of Capitalism. Oxford University Press.
- Radetzki, M. (2008). A Handbook of Primary Commodities in the Global Economy. Cambridge University Press.
