In News
'ยุบสภา'ตามคาด'นายกฯอนุทิน'ต้มส้ม!! วืด!แก้รธน./เลือกตั้งปลายม.ค.-ต้นก.พ.69
กรุงเทพฯ-เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 ให้ถือวันประกาศราชกิจจานุเบกษา คือวันที่ 12 ธันวาคม 2568 เป็นวันยุบสภา
วันนี้ (12 ธันวาคม 2568) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกายุบสภา พ.ศ. 2568 ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
ด้วยนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลฯ ว่า ตามที่รัฐบาลได้เข้ารับหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2568 โดยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งประกอบด้วยพรรคการเมืองหลายพรรคเข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล แต่มิได้มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างที่ประเทศได้เผชิญความท้าทายหลายประการเพราะความไม่แน่นอนรอบด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และภูมิรัฐศาสตร์ของโลก รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา
รัฐบาลได้เร่งดำเนินการทุกวิถีทางในการบริหารราชการแผ่นดินให้สามารถแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศที่รุมเร้าให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็ว รวมทั้งมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยและสันติสุขให้เกิดขึ้นกับชาติบ้านเมือง อันจะนำพาการเมืองการปกครองของประเทศให้ก้าวหน้าเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน อาทิ การผลักดันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การเร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า การขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและชุมชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ การช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ การป้องกันและปราบปรามบ่อนการพนัน การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติภัยไซเบอร์ และการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่างๆ การเร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง รวมทั้งกำหนดมาตรการในการดำเนินการเพื่อรองรับและลดผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน
แต่การบริหารราชการแผ่นดินจำเป็นต้องมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม โดยที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่มีปัญหารุมเร้าในหลาย ๆ ด้าน ส่งผลให้รัฐบาลไม่อาจบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และมีเสถียรภาพหากปล่อยให้สภาวการณ์เป็นอยู่เช่นนี้ย่อมจะเกิดความไม่มั่นคงทางการเมืองและกระทบต่อความเชื่อมั่นของนานาประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ อันจะนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาของประชาชนต่อระบบรัฐสภาและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในที่สุด ทางออกที่เหมาะสมคือการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป อันเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชนเจ้าของอำนาจสูงสุดโดยเร็ว เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และให้ได้มาซึ่งรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากและมีเสถียรภาพที่ได้รับอาณัติที่ชอบธรรมจากประชาชนเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปโดยราบรื่นและเรียบร้อยสืบไป
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 103 และมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568”
มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป
มาตรา 4 ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
มาตรา 5 ให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ขั้นตอนการเลือกตั้งใหม่หลังยุบสภา
หลังจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา จะส่งผลให้สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง แต่ยังต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่
ภายใน 5 วัน นับแต่พระราชกฤษฎีกายุบสภาใช้บังคับ (17 ธันวาคม 2568) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป โดยประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา
ทั้งนี้สำหรับวันเลือกตั้งทั่วไป จะต้องอยู่ภายในกรอบเวลา 45-60 วัน นับแต่ พ.ร.ฎ.ยุบสภาฯใช้บังคับ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 103 วรรคสาม (การกำหนดเลือกตั้งทั่วไป กกต.จะกำหนดจัดเลือกตั้งในวันอาทิตย์ ภายในกรอบเวลา 45-60 วัน)
โดยวันที่เข้าข่ายจะกำหนดเป็นวันเลือกตั้งในกรอบเวลา 45-60 วัน ประกอบด้วย 25 มกราคม 2569, 1 กุมภาพันธ์ 2569และหรือ 8 กุมภาพันธ์ 2569
ภายใน 25 วัน หลังมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา กกต.จะเปิดรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และ สส.บัญชีรายชื่อ รวมทั้งเปิดให้พรรคการเมืองเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง พรรคละ 3 คน
หลังจากรับสมัครเลือกตั้งจะเข้าสู่เป็นช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จัดเวทีปราศรัย ติดตั้งป้าย/สื่อหาเสียง โดยในระหว่างนี้รัฐบาลรักษาการห้ามใช้ทรัพยากรรัฐในการหาเสียงโดยไม่ชอบ
ช่วง 45–60 วัน หลังมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา จัดการเลือกตั้งทั่วไปตามวันที่ กกต.ประกาศไว้ โดยก่อนการเลือกตั้งทั่วไป 7 วัน กกต.จะจัดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งในเขตและนอกเขต และเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร สำหรับคนไทยในต่างประเทศ โดยปกติจะจัดขึ้น 1 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งทั่วไป
