In News

รัฐฯติดตามเหตุปะทะชายแดนไทย-เขมร ใกล้ชิดสั่งปิดเส้นทางเสี่ยงแนวชายแดน



กรุงเทพฯ-รัฐบาลติดตามเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างใกล้ชิด สั่ง! ปิดเส้นทางเสี่ยง ชายแดนไทย–กัมพูชาแนะ ปชช. เลี่ยงการเดินทางพื้นที่ปะทะ ย้ำความปลอดภัยของ ปชช. สำคัญสุด และได้ประณามกัมพูชา ต่อการกระทำอันโหดร้ายและไร้มนุษยธรรม ใช้อาวุธจรวด BM-21 ยิงตกเข้ามาในพื้นที่พลเรือน ส่งผลให้ ปชช.เสียชีวิต ซึ่งเป็นความจงใจ ไม่ใช่อุบัติเหตุ และทบ. เผยไม่มีแนวทางการหยุดยิง โดยยังพบกัมพูชาโจมตีต่อกำลังทหารและพื้นที่พลเรือนไทยอย่างต่อเนื่อง ยืนยันการปฏิบัติการทางทหารที่มีเป้าหมายหลักเพื่อขจัดภัยคุกคามและควบคุมพื้นที่ด้านความมั่นคง

วันนี้ 14 ธันวาคม 2568 นางสาวอัยรินทร์ พันธุฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาล ติดตามสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างใกล้ชิด และสั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการความร่วมมือ เดินหน้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง โดยย้ำให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของประชาชน การอพยพกลุ่มเปราะบาง และการอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมในพื้นที่ศูนย์พักพิง

นางสาวอัยรินทร์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในหลายจังหวัดชายแดนรัฐบาล มอบหมายกระทรวงคมนาคมเร่งสนับสนุนภารกิจของจังหวัดและฝ่ายความมั่นคงอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงจุด ดังนี้

รัฐฯประณามกัมพูชายิงอาวุธจรวดBM-21ใส่พื้นที่พลเรือน

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 11.50 น.  ได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่หมู่ 4 ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ มีเหตุลูกระเบิดกระสุน BM-21 ระดมยิงลงพื้นที่บ้านหนองเม็ก ม.4 ต.เสาธงชัย มีผู้เสียชีวิต 1 นาย คาดว่าถูกสะเก็ดระเบิด บริเวณ หน้า รร. หนองเม็ก

พร้อมกันนีั เหตุการณ์เดียวกันได้เกิด ไฟไหม้จากเหตุลูกระเบิด BM-21 จำนวน 1 หลัง เสียหายทั้งหลัง และยังมีบ้านเรือนอีกหลายหลังถูกสะเก็ดระเบิด แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากอพยพ ออกนอกพื้นที่ ทั้งนี้ ได้ประสานรถดับเพลิงแล้ว  

“รัฐบาลขอประณามต่อการกระทำอันโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมของฝ่ายกัมพูชา จากการใช้อาวุธจรวด BM-21 ยิงตกเข้ามาในพื้นที่พลเรือนในเขตแดนไทย ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต และสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน และทรัพย์สินของประชาชน ก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน ขอยืนยันว่า พลเรือนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารใด ๆ และการใช้อาวุธโจมตีพื้นที่พลเรือนเช่นนี้ไม่อาจยอมรับได้ภายใต้หลักสากล และนี่เป็นความจงใจ ไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่ทางกัมพูชา มักจะอ้างอย่างแน่นอน“ นายสิริพงศ์ กล่าว

จังหวัดบุรีรัมย์ เกิดเหตุปะทะในพื้นที่อำเภอบ้านกรวด บริเวณช่องสายตะกู ส่งผลให้มีการสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่อำเภอบ้านกรวดและอำเภอละหานทราย พร้อมงดใช้เส้นทางทางหลวงหมายเลข 224 (บ้านกรวด–ละหานทราย–พนมดงรัก) เพื่อความปลอดภัย สำนักงานขนส่งจังหวัดบุรีรัมย์ ได้สนับสนุนรถจำนวน 10 คัน สำหรับอพยพประชาชนกลุ่มเปราะบางไปยังสถานพยาบาลและศูนย์พักพิง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกในศูนย์พักพิงชั่วคราว และงดการเดินรถในพื้นที่เสี่ยงตามข้อสั่งการของจังหวัด

จังหวัดสุรินทร์ ยังคงมีสถานการณ์ความไม่สงบในหลายพื้นที่ชายแดน ส่งผลให้มีผู้อพยพเข้าศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 80,000 คน ใน 145 แห่ง โดยสำนักงานขนส่งจังหวัดสุรินทร์ได้จัดเจ้าหน้าที่และยานพาหนะลงพื้นที่ดูแลศูนย์พักพิงอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนภารกิจของจังหวัดและกรมการขนส่งทางบก โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในการดูแลความปลอดภัยและสร้างขวัญกำลังใจแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่

จังหวัดตราด กรมทางหลวงรายงานเหตุลูกกระสุนตกบนทางหลวงหมายเลข 3 ตอนแม่น้ำตราด–หาดเล็ก ส่งผลให้ต้องปิดเส้นทางบางช่วงเป็นการชั่วคราว หน่วยงานด้านความมั่นคงได้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ชายแดนเข้าสู่ตัวเมืองตราด เพื่อความปลอดภัย ขณะเดียวกัน แขวงทางหลวงตราดได้ดำเนินการอพยพหมวดทางหลวงในพื้นที่เสี่ยง ได้แก่ หมวดทางหลวงแหลมกลัด ช้างทูน และด่านชุมพล มาปฏิบัติงานในพื้นที่ปลอดภัย ตามแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินของหน่วยงาน

รัฐบาลกำชับให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รายงานความคืบหน้าแบบต่อเนื่อง ในส่วนของคมนาคม ได้ปรับแผนการเดินรถและการใช้เส้นทางให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง พร้อมสนับสนุนการอพยพประชาชนและการดำเนินงานของศูนย์พักพิงในทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ พร้อมบูรณาการการทำงานร่วมกับจังหวัด ฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชนและเจ้าหน้าที่  รัฐบาลพร้อมยืนหยัดอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ทบ. เผยไม่มีแนวทางการหยุดยิง 

จากกรณีที่สังคมได้ให้ความสนใจและมีข้อสงสัยในประเด็นเรื่องการหยุดยิง หลังนายกรัฐมนตรีมาเลเซียโพสต์ข้อความระบุว่าไทยและกัมพูชาจะเริ่มกระบวนการหยุดยิงในวันที่ 13 ธ.ค.68 เวลา 22.00 น. นั้น

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยต่อกรณีดังกล่าวว่าในส่วนของกองทัพบก ไม่เคยกล่าวถึงหรือมีแนวการปฏิบัติในเรื่องนี้ เนื่องจากปัจจุบันกัมพูชายังคงใช้อาวุธหนัก จรวด BM-21, เครื่องยิงลูกระเบิด และโดรนพลีชีพ โจมตีต่อกำลังทหารไทยในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวไทยอย่างร้ายแรง

โดย พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ติดตามสถานการณ์และมอบแนวทางการปฏิบัติเฉพาะส่วนอย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจุบันยืนยันว่ายังไม่ได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติการของหน่วยในพื้นที่การรบแต่อย่างใด โดยยังคงสั่งการให้หน่วยทหารที่รับผิดชอบตลอดแนวชายแดน เดินหน้าปฏิบัติการตามแผนที่กำหนด พร้อมบูรณาการร่วมกับเหล่าทัพ และหน่วยงานอื่นๆ ในการปฏิบัติอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันผู้บัญชาการทหารบกได้กำชับให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 เน้นย้ำกำลังพลเรื่องการปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย ดำเนินกลยุทธ์ด้วยความรอบคอบ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายหลัก คือ การผลักดันและมุ่งทำลายขีดความสามารถทางการทหารของกัมพูชา ทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมถึงองค์ประกอบสนับสนุนอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อฝ่ายไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม พร้อมยืนยันว่ากองทัพบกไทยโจมตีต่อเป้าหมายทางทหารที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเพียงเท่านั้น

และการสถาปนาพื้นที่ เข้าควบคุมบริเวณที่เคยมีการรุกล้ำเขตอธิปไตยไทย และเสริมความมั่นคงให้มีความสมบูรณ์ เอื้อต่อการปฏิบัติการทางทหารต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งการให้หน่วยขึ้นตรงกองทัพบก กำกับดูแลใส่ใจกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บและสูญเสียจากสถานการณ์การสู้รบ รวมถึงครอบครัวกำลังพลอย่างครอบคลุม ทั้งด้านการรักษาพยาบาล สิทธิและสวัสดิการ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกครอบครัวในการเข้าเยี่ยมเยียนหรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอย่างเต็มที่และดีที่สุด ซึ่งในพิธีศพของกำลังพล ผู้บัญชาการทหารบกได้มอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพบก ลงพื้นที่ร่วมประกอบพิธีสดุดีวีรชนอย่างสมเกียรติ พร้อมปลอบขวัญและเสริมสร้างกำลังใจให้กับครอบครัว ขอบคุณแนวหลังของทหารกล้าผู้เสียสละในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้อย่างเต็มภาคภูมิ

กองทัพบกขอยืนยันในปฏิบัติการครั้งนี้ว่ายังคงดำเนินการต่อเนื่องจนกว่ากัมพูชาหยุดความเป็นปรปักษ์ โจมตีต่อกำลังทหารไทยและประชาชนในพื้นที่ชายแดน โดยขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากำลังพลและยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก พร้อมตรึงกำลังการปฏิบัติ และตอบโต้ตามกฎการใช้กำลังตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดและเป็นไปตามหลักกติกาสากล เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช และดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนชาวไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ