Think In Truth

ถอดรหัสเงินเฟียต: กับดักหนี้สินกับการ สร้างทาสในวงการเงิน โดย: ฟอนต์  สีดำ



บทนำ: ปริศนาแห่งมูลค่าและการเงิน

การเงินคือรากฐานที่มองไม่เห็นซึ่งค้ำจุนอารยธรรมมนุษย์ เป็นทั้งกลไกแลกเปลี่ยนและเครื่องมือในการเก็บรักษามูลค่าข้ามกาลเวลา ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โลกได้ยืนอยู่บนความผันผวนของระบบการเงินที่เรียกขานกันว่า "มาตรฐานเฟียต" (Fiat Standard) ซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในงานเขียนของ Saifedean Ammous บทความนี้ถอดรหัสแก่นความคิดหลักจากงานดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปรียบเทียบมาตรฐานการเงินที่ล่มสลายไปแล้วอย่าง "มาตรฐานทองคำ" (Gold Standard) กับสถาปัตยกรรมทางการเงินร่วมสมัยที่เราดำรงอยู่ เพื่อเปิดเปลือยให้เห็นถึงผลกระทบเชิงมหภาคที่เกิดจากอำนาจรวมศูนย์ในการสร้างและจัดการปริมาณเงิน

1. ยุคสมัยแห่งมาตรฐานทองคำ: ความศักดิ์สิทธิ์ของสินทรัพย์แข็ง

ก่อนที่โลกจะเข้าสู่ยุคแห่งธนบัตรที่ไร้ทองคำค้ำประกัน ระบบการเงินเคยถูกผูกโยงเข้ากับ "มาตรฐานทองคำ"  อย่างเคร่งครัด ระบบนี้ตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือ ทองคำคือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวเองโดยธรรมชาติ และเป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างให้การยอมรับโดยสากลในฐานะสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่เชื่อถือได้

ในระบบดั้งเดิมที่สุด การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการอาจเกิดขึ้นโดยการใช้ทองคำจริง  ซึ่งเป็นโลหะที่หายาก มีความทนทาน และยากต่อการเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว (Skepticism of rapid mass production)  ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มอบความน่าเชื่อถือในฐานะสิ่งที่ "มีค่า" โดยเนื้อแท้  ทว่า เมื่อวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจก้าวหน้า ระบบได้พัฒนาไปสู่การใช้ตัวแทนของทองคำ

  • ตั๋วแลกทองคำและการกำเนิดของธนาคาร: ผู้คนเริ่มนำทองคำไปฝากไว้กับสถาบันการเงินหรือธนาคาร  เพื่อแลกกับ "ตั๋วเงิน" (Bank Notes) ซึ่งเปรียบเสมือนใบรับรองที่สามารถนำกลับไปแลกทองคำแท้คืนได้ตามความต้องการ  สาระสำคัญของตั๋วเงินเหล่านี้จึงมิได้อยู่ที่ตัวกระดาษ แต่เป็น คำมั่นสัญญา ที่ผูกพันกับทองคำสำรองที่ถูกจัดเก็บไว้ ณ ธนาคาร ระบบนี้เรียกขานอย่างชัดเจนว่าเป็น Gold Standard
  • แก่นแท้ของความไว้วางใจ: ความมั่นคงของระบบ Gold Standard จึงขึ้นอยู่กับหลักฐานที่ว่า มูลค่าของสิ่งที่หมุนเวียนอยู่ (ตั๋วเงิน) ถูกค้ำประกันด้วยสิ่งที่มีมูลค่าอย่างแท้จริง (ทองคำ) ผู้คนมีความเชื่อมั่นว่า หากพวกเขาต้องการ ทองคำที่เคยฝากไว้จะสามารถนำกลับคืนมาได้จริง  ดังนั้น ปริมาณเงินในระบบจึงถูกจำกัดและควบคุมโดยปริมาณทองคำที่มีอยู่จริงในโลก ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วยากต่อการขยายตัวในอัตราที่รวดเร็ว  นี่คือยุคที่มูลค่าทางการเงินมีความผูกพันกับความจริงเชิงกายภาพอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

๒. การมาถึงของมาตรฐานเฟียต: ปัญหาของการสร้างมูลค่าจากความว่างเปล่า

โลกปัจจุบันได้ละทิ้งพันธะผูกพันกับทองคำไปโดยสิ้นเชิง (Abolition of Gold Standard)  และเข้าสู่ยุคของ มาตรฐานเฟียต (Fiat Standard) คำว่า "Fiat" ในภาษาละตินมีความหมายว่า "จงเป็นไปตามนั้น" หรือ "ขอให้อำนาจเป็นเช่นนั้น" ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงธนบัตรสมัยใหม่ที่มิได้มีมูลค่าในตัวเอง (Intrinsic Value) หากแต่มีมูลค่าด้วย อำนาจ และ คำสั่ง ของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง

  • การเปลี่ยนผ่านทางจิตสำนึก: ภายใต้มาตรฐานเฟียตนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันมิได้มีความคิดที่จะนำเงินฝากในธนาคารของตนไปแลกเป็นทองคำอีกต่อไป  การเงินกลายเป็นเพียงตัวเลขในบัญชีหรือธนบัตรที่ใช้จ่ายได้ตามกฎหมาย  ความเชื่อมั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์สำรอง แต่ตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของรัฐบาลและระบบการเมือง
  • วายร้ายแห่งอัตราเงินเฟ้อ (The Villain of Inflation): หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปัญหาหลักและเป็นปัญหาพื้นฐานของมาตรฐานเฟียตคือ อำนาจในการพิมพ์เงิน  เมื่อรัฐบาลหรือธนาคารกลาง (ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นหน่วยงานเดียวกันในการควบคุมเงิน)  สามารถพิมพ์เงินออกมาใช้ได้ตามอำเภอใจหรือตามความจำเป็นทางการคลัง การกระทำเช่นนี้จึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับทองคำ  ที่ไม่สามารถเพิ่มปริมาณได้ในทันที
  • กลไกของการลดค่าเงิน: เมื่อมีบุคคลหรือองค์กรใดก็ตามสามารถ "ปริ้นเงิน" ออกมาในระบบได้  ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation)  ภาวะเงินเฟ้อนี้มิใช่เพียงแค่ราคาสินค้าที่สูงขึ้น แต่คือการที่ "เงิน" ที่ประชาชนถือครองอยู่มี อำนาจซื้อลดน้อยลง  ผู้เขียนชี้ว่า นี่คือปัญหาหลักที่ประชาชนส่วนใหญ่มักไม่รู้สึกตัวและเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า  ในทางปฏิบัติแล้ว ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากการพิมพ์เงินโดยรัฐบาลก็เปรียบเสมือนการเก็บภาษีจากพลเมืองผู้ถือครองเงินในรูปแบบที่ซ่อนเร้นที่สุด

3. การรวมศูนย์อำนาจ: รัฐบาลและธนาคารกลาง

หัวใจสำคัญของมาตรฐานเฟียตคือระบบ "รวมศูนย์" (Centralized)  ที่มอบอำนาจเด็ดขาดในการควบคุมอุปทานของเงินให้กับสถาบันหลักสองแห่ง ได้แก่ รัฐบาล และ ธนาคารกลาง (National Bank)  ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า ทั้งสองสถาบันนี้คือผู้มีบทบาทหลักในการ "ปริ้นเงิน"  และเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเพิ่มปริมาณเงินในระบบ

  • คำถามต่อความน่าเชื่อถือของอำนาจ: ผู้เขียนตั้งคำถามอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างอำนาจนี้ โดยตั้งข้อสังเกตว่า หากเงินคือสิ่งที่ใครบางคนสามารถสร้างขึ้นมาได้โดยไร้ต้นทุนที่แท้จริง (นอกเหนือจากต้นทุนทางกายภาพในการพิมพ์)  มันย่อมนำมาสู่การใช้ประโยชน์และพฤติกรรมที่ไม่สมควร ซึ่งแตกต่างจากทองคำซึ่งเป็นสิ่งที่หายากและควบคุมยาก
  • มิติของ "Too Big to Fail": แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่าด้วย "ใหญ่เกินกว่าจะล้ม" (Too Big to Fail)  สะท้อนให้เห็นถึงการสนับสนุนของรัฐบาลต่อสถาบันการเงินขนาดใหญ่หรือบริษัทที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เมื่อสถาบันเหล่านี้เผชิญกับความล้มเหลว รัฐบาลจะเข้าแทรกแซงและให้ความช่วยเหลือทางการเงิน (Bailout) โดยใช้เงินที่ "สร้าง" ขึ้นมา (ผ่านการเพิ่มหนี้หรือการพิมพ์เงิน) การกระทำนี้ถูกมองว่าเป็นการบิดเบือนกลไกตลาดและสร้างความไม่รับผิดชอบทางศีลธรรม (Moral Hazard) โดยการถ่ายโอนความเสี่ยงและความเสียหายไปสู่สังคมโดยรวม

4. มาตรฐานบิตคอยน์: การตอบโต้แห่งการกระจายอำนาจ

จากการวิพากษ์วิจารณ์อย่างเข้มข้นต่อมาตรฐานเฟียต งานของ Saifedean Ammous ได้นำเสนอทางเลือกที่ถูกเรียกว่า "มาตรฐานบิตคอยน์" (Bitcoin Standard)  ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการของการ กระจายอำนาจ (Decentralized)  และความขาดแคลนที่แท้จริง (Absolute Scarcity)

  • การปฏิเสธผู้คุมอำนาจ: ผู้ที่เชื่อมั่นในมาตรฐานบิตคอยน์จำนวนมากมีความเชื่ออย่างแรงกล้า  และตั้งคำถามต่อความจำเป็นของธนาคารกลางและรัฐบาลในการเป็นผู้ควบคุมการเงิน พวกเขาเชื่อว่าระบบการเงินที่แท้จริงควรเป็นไปตามกฎทางคณิตศาสตร์ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไม่ใช่ตามความประสงค์ของมนุษย์ที่อาจมีอคติ (Bias) หรือถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์
  • ข้อมูลและการโต้แย้ง: ฝ่ายสนับสนุน Bitcoin มักใช้ข้อมูล (Data) ต่างๆ  มาสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตน แม้ว่าความน่าเชื่อถือหรือการเลือกสรรข้อมูล (Selection Bias)  จะเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่แก่นสารของข้อโต้แย้งคือการแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของระบบรวมศูนย์
  • การใช้พลังงานเชิงนวัตกรรม (The Energy Argument): ข้อโต้แย้งที่มักถูกหยิบยกมาโจมตี Bitcoin คือการใช้พลังงานมหาศาลในการดำเนินงาน (Mining)  ทว่าผู้เขียนหนังสือเสนอภาพอีกด้านหนึ่ง โดยมองว่า Bitcoin มีศักยภาพในการใช้พลังงานที่ถูกทิ้งขว้าง (Wasted Energy) หรือพลังงานส่วนเกินที่เข้าถึงได้ยากในพื้นที่ห่างไกล (Remote Areas)  อาทิ:
    • Flare Gas: ก๊าซส่วนเกินที่เกิดจากแหล่งผลิตน้ำมันและมักถูกเผาทิ้งสู่ชั้นบรรยากาศ
    • พลังงานน้ำจากเขื่อน: พลังงานที่ผลิตได้จากเขื่อนในพื้นที่ห่างไกล  ซึ่งอาจมีต้นทุนในการดำเนินงาน (Cost) ต่ำมากสำหรับการรัน "โหนด" (Nodes) หรืออุปกรณ์ประมวลผลเครือข่าย Bitcoin

แนวคิดนี้พลิกมุมมองจากการมองว่า Bitcoin เป็น ผู้ใช้พลังงาน ไปสู่การมองว่าเป็น ผู้บริโภคพลังงานส่วนเกินที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยสร้างความสมดุลและมูลค่าให้กับแหล่งพลังงานที่ถูกทอดทิ้ง

5. บทสรุป: สองมาตรฐานและจุดยืนทางความคิด

การศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง The Bitcoin Standard และ The Fiat Standard  เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อทำความเข้าใจกับโลกการเงินในปัจจุบัน การอ่านงานเหล่านี้โดยปราศจากอคติทางความคิด (Non-bias)  ช่วยให้เราเห็นภาพอย่างครอบคลุมว่า เหตุใดผู้คนกลุ่มหนึ่งจึงมีความเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจในการกระจายอำนาจและปฏิเสธอำนาจรัฐบาลและธนาคารกลาง

ในฐานะนักเขียนบทความเพื่อสื่อความเข้าใจให้กับสังคม บทความนี้จึงมิได้มุ่งตัดสินว่ามาตรฐานใด "ถูก" หรือ "ผิด"  แต่เป็นการถอดรหัสและร้อยเรียงวาทกรรม (Discourse) ทางเศรษฐศาสตร์ที่เข้มข้นนี้ออกมาเป็นงานเขียนที่ชวนให้ใคร่ครวญ ด้วยการทำความเข้าใจอินพุต (Input)  ที่เข้ามาโดยไม่รีบตัดสิน  เราจะสามารถพัฒนา "ความเห็นอกเห็นใจ" (Empathy)  ต่อมุมมองที่แตกต่างและขัดแย้งได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของระบบการเงินโลกที่กำลังจะมาถึง

แหล่งอ้างอิง (5 แหล่ง)

  1. Ammous, Saifedean. The Fiat Standard: The Debt Slavery Alternative to Human Civilization. New York: Wiley, 2021. (แหล่งอ้างอิงหลักจากวิดีโอ)
  2. Ammous, Saifedean. The Bitcoin Standard: The Decentralized Alternative to Central Banking. New York: Wiley, 2018. (แหล่งอ้างอิงร่วมที่ถูกกล่าวถึงในวิดีโอ)
  3. Keynes, John Maynard. The General Theory of Employment, Interest and Money. London: Macmillan, 1936. (เพื่อเป็นบริบททางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาคที่เกี่ยวกับนโยบายการเงินของรัฐ)
  4. Rothbard, Murray N. The Case for a 100 Percent Gold Dollar. Ludwig von Mises Institute, 1962. (แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียที่เป็นการโต้แย้งระบบเฟียตและการรวมศูนย์อำนาจเงินตรา)
  5. Mises, Ludwig von. The Theory of Money and Credit. Translated by H. E. Batson. New Haven: Yale University Press, 1953. (งานพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์การเงินที่อธิบายถึงคุณสมบัติและวิวัฒนาการของเงิน)