Travel Sport & Entertain
คิมป์ตันเผย'เทรนด์รสชาติของปี2569' สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ทั่วโลก
รายงานเทรนด์อาหารและค็อกเทลประจำปีของคิมป์ตันกลับมาอีกครั้งในปีนี้ พร้อมพาไปสำรวจทิศทางใหม่ของโลกอาหารและเครื่องดื่มที่จะมาแรงในปี 2569 ตั้งแต่สไตล์การรับประทานอาหารที่กำลังเปลี่ยนไป วัตถุดิบดาวเด่น ไปจนถึงเทคนิคระดับผู้เชี่ยวชาญที่กำลังถูกพูดถึงทั่ววงการ ไม่ว่าจะเป็นค็อกเทลที่ผสานเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน หรือทางเลือกนมจากผลไม้ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ทั้งหมดนี้ถูกรังสรรค์โดยกลุ่มเชฟและมิกโซโลจิสต์ระดับแถวหน้าจากคิมป์ตันทั่วโลก ผู้ร่วมกันสร้างเทรนด์ใหม่ และนิยามประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มในอนาคต
รายงานเทรนด์ประจำปีฉบับนี้สะท้อนตัวตนด้านความคิดสร้างสรรค์ทางอาหารและเครื่องดื่มของคิมป์ตัน พร้อมมุมมองที่ถ่ายทอดผ่านร้านอาหารและบาร์มากกว่า 100 แห่ง ในโรงแรมทั้ง 83 แห่งทั่วโลก ในฐานะผู้นำด้านฮอสพิทาลิตี้เชิงสร้างสรรค์ โรงแรม ร้านอาหาร และบาร์ภายใต้แบรนด์คิมป์ตันโดดเด่นด้วยเทคนิคที่รังสรรค์อย่างประณีต และประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เปี่ยมด้วยรสชาติและคาแรกเตอร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางวงการอาหารและเครื่องดื่มในระดับโลกอย่างต่อเนื่อง
แพททริค โบท ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมคิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ และผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มโรงแรมลักชัวรีและไลฟ์สไตล์ ประเทศไทย IHG Hotels & Resorts กล่าวว่า “เมื่อผู้เข้าพักมองหาความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นผ่านอาหารและเครื่องดื่ม เราจึงเห็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประสบการณ์ที่กระตุ้นทุกประสาทสัมผัส โดยค็อกเทล โปรแกรมเครื่องดื่ม และเมนูอาหารกลายเป็นพื้นที่ในการเล่าเรื่อง ถ่ายทอดตัวตนของสถานที่ วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเชฟและบาร์เทนเดอร์ของเรานำแรงบันดาลใจจากทั่วโลกมาผสานเข้ากับเอกลักษณ์ท้องถิ่น เพื่อรังสรรค์อาหารและเครื่องดื่มที่ทั้งสร้างความประหลาดใจ มอบความเพลิดเพลิน และชวนให้เกิดบทสนทนา เราได้นำแนวคิด zero-waste มาใช้ที่ที่คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ ซึ่งสะท้อนถึงความใส่ใจ และต่อยอดออกมาเป็นเครื่องดื่มที่นิยามความหรูหราในมุมมองใหม่ เพราะสำหรับคิมป์ตันแล้ว การสร้างสรรค์ไม่ใช่การไล่ตามเทรนด์ แต่คือการเป็นผู้นำด้วยความจริงใจ งานศิลป์ และความสนุกเล็ก ๆ ที่ทำให้ทุกประสบการณ์น่าจดจำ”
พอล โลดเดอร์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมคิมป์ตัน คีตาเล สมุย เผยว่า "รีสอร์ตกำลังเห็นอิทธิพลของอาหารเมดิเตอร์เรเนียนและตะวันออกกลางเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเมนูสร้างสรรค์อย่างต้มยำเซวิเช่ หรือฮัมมัสขมิ้นชัน ขณะเดียวกัน เทรนด์อาหารวีแกนและแพลนต์เบสก็ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยนำวัตถุดิบท้องถิ่นของไทยที่คุ้นเคย เช่น หัวปลี มาตีความใหม่ให้กลายเป็นวัตถุดิบระดับพรีเมียม นอกจากนี้ ยังมีการต่อยอดเทคนิคการหมักดอง (fermentation) ในการปรุงอาหารมากขึ้น เพื่อเพิ่มมิติของรสชาติและความซับซ้อนให้กับประสบการณ์การรับประทานอาหาร"
แขกของโรงแรม ร้านอาหาร และบาร์ในเครือคิมป์ตันทั่วโลก จะได้สัมผัสและลิ้มลองเมนูสร้างสรรค์ที่ถ่ายทอดเทรนด์เหล่านี้ให้มีชีวิตตลอดปี ตั้งแต่อาหารจานเด่นไปจนถึงค็อกเทลสุดครีเอทีฟ ที่พร้อมสร้างความประหลาดใจในทุกคำและทุกแก้ว มาดูกันว่าอะไรคือเมนูและเครื่องดื่มที่กำลัง “ปรุง” และ “เขย่า” วงการอยู่ในรายงาน Kimpton 2026 Culinary + Cocktail Trend Forecast
On the Plate: จากแนวคิดสู่ศิลปะบนจานอาหารการกลับมาของศิลปะการปรุงด้วยถ่าน
เมื่อเทรนด์การกินหันกลับมาให้ความสำคัญกับรสชาติจริงและการปรุงแบบใส่ใจ ทำให้ถ่านกำลังกลับมาโดดเด่นทั้งในฐานะวัตถุดิบและเทคนิคการปรุงอาหาร ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนหรือผัก แขกจะได้สัมผัสประสบการณ์การใช้ บินโจตัน (Binchotan) ถ่านขาวจากญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องควันและกลิ่นรบกวนน้อย ช่วยดึงรสชาติของวัตถุดิบออกมาอย่างชัดเจน เตรียมพบกับเมนูอย่างดอกกะหล่ำย่างซาเต้ เสิร์ฟคู่เลมอนครีม ที่จะทยอยปรากฏในหลายโรงแรมของคิมป์ตันในช่วงเดือนต่อจากนี้ โดยคิมป์ตัน คีตาเล สมุย ได้นำแนวคิดนี้มาถ่ายทอดผ่านเมนู Smoked Miso Butter Corn Ribs ข้าวโพดหวานย่างที่เคล้าด้วยมิโซะบัตเตอร์รมควัน ย่างจนสีทองสวยงาม ก่อนเสิร์ฟในรูปแบบชิ้นพอดีคำ มอบรสชาติอูมามิเข้มข้นอย่างมีลูกเล่น เป็นเมนูที่ทั้งสนุก เต็มไปด้วยคาแรกเตอร์
แพนเค้กกับแรงบันดาลใจจากทั่วโลก
เมื่ออาหารจากทั่วโลกเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แพนเค้กจากหลากหลายวัฒนธรรม เช่น ฮ็อตต็อกจากเกาหลี หรือบั๋ญแส่วจากเวียดนาม กำลังถูกนำมาใช้เป็นฐานสำหรับการจับคู่รสชาติอย่างสร้างสรรค์ แพนเค้กเหล่านี้จะพาแขกออกเดินทางผ่านรสชาติ พร้อมยกระดับเมนูคุ้นเคยให้แปลกใหม่ยิ่งขึ้น หนึ่งในตัวอย่างคือเมนูสุดครีเอทีฟอย่างมาร์ตินี่แรงบันดาลใจจากปาเอย่า เสิร์ฟคู่บลินีและคาเวียร์ ที่มีให้ลิ้มลองที่คิมป์ตัน ซอว์เยอร์ เมืองซาคราเมนโต
อาหารจานวัฒนธรรมและครัวร่วมสมัย
ออกเดินทางผ่านรสชาติจากหลากหลายวัฒนธรรม เมื่อเทรนด์อาหารจากรากวัฒนธรรมและครัวลูกผสมยุคใหม่ ก้าวขึ้นมาโดดเด่นในปี 2569 อาหารแต่ละจานได้รับอิทธิพลจากหลายวัฒนธรรมพร้อมกัน ไม่ยึดติดอยู่กับกรอบของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เปิดรับแรงบันดาลใจจากเพื่อนบ้าน เพื่อถ่ายทอดรสชาติแท้ในมุมมองใหม่ เทรนด์นี้สะท้อนให้เห็นได้ที่คิมป์ตัน ชินจูกุ โตเกียว ผ่านเมนู Japanese Chestnut Mont Blanc ราดซอสคาสซิส ที่นำขนมคลาสสิกสไตล์ฝรั่งเศสมาตีความใหม่ ผสานเข้ากับวัตถุดิบตามฤดูกาลและงานฝีมือแบบญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว
ซิตรัสกับมิติรสชาติที่สดใหม่
ส้มตระกูลซิตรัสกำลังมาแรงในมุมใหม่ โดยสายพันธุ์และลูกผสมที่มีเอกลักษณ์อย่างคาลามันซี ฮัลลาบง และซูโม่ จะเริ่มปรากฏบนเมนูอาหารและเครื่องดื่มมากขึ้น เป็นทางเลือกสดใหม่แทนซิตรัสแบบดั้งเดิม ผลไม้เหล่านี้โดดเด่นด้วยรสเปรี้ยวอมหวานและกลิ่นหอมเฉพาะตัว ช่วยเติมสีสันและมิติใหม่ให้กับจานอาหาร ความสดชื่นและรสชาติที่คาดไม่ถึงนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เชฟและมิกโซโลจิสต์ทดลองจับคู่รสชาติและนำเสนอในรูปแบบใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นค็อกเทลผสมยูซุ หรือดรสซิ่งซีฟู้ดและสลัดจากคาลามันซีและมิโซะ ที่ทั้งสดใส แปลกใหม่ และชวนลิ้มลอง
ดิปที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูจานหลัก
เทรนด์การรับประทานอาหารกำลังขยับจากมื้อหลักจานใหญ่ ไปสู่อาหารจานเล็กที่ทานง่ายและแบ่งกันได้มากขึ้น ดิปที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูจานหลักจึงกลายเป็นของทานเล่นเวอร์ชันใหม่ที่ทั้งสนุกและยกระดับประสบการณ์การกิน เมนูคุ้นเคยอย่างลาบ ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมของไทย ถูกนำมาตีความใหม่ในรูปแบบดิป ให้รับประทานได้ในคำเล็ก ๆ โดยที่คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ เมนูนี้นำเสนอในชื่อ ลาปทูน่า ที่มาพร้อมทูน่าสดหมักกับน้ำมะนาว สมุนไพร และน้ำมันงา เสิร์ฟคู่ข้าวเกรียบกรอบสำหรับตัก เปลี่ยนเมนูจานหลักให้กลายเป็นออเดิร์ฟที่เหมาะกับการแชร์ ขณะที่คิมป์ตัน คีตาเล สมุย นำเสนอ ดิปไก่ทิกก้ามาซาลารสเข้มข้น หอมเครื่องเทศ และเนื้อสัมผัสครีมมี่ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ออกแบบมาเพื่อการแบ่งปันและการสังสรรค์บนโต๊ะเดียวกัน
ลัมแบร์โต วาลเดซ ลารา เอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟ โรงแรมคิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ สรุปว่า “ปี 2569 จะเป็นปีแห่งความ ‘กรุบกรอบ’ เชฟให้ความสำคัญกับการซ้อนเลเยอร์ของเนื้อสัมผัส เพื่อสร้างมิติใหม่ให้กับอาหาร เปลี่ยนเทคนิคและวัตถุดิบให้กลายเป็นประสบการณ์บนปลายลิ้น นอกจากนี้ เรายังเห็นบทบาทของถ่านที่โดดเด่นมากขึ้น ด้วยความสามารถในการเติมรสชาติเข้มลึก พร้อมแรงบันดาลใจจากอาหารทั่วโลก เช่น ฮ็อตต็อกเกาหลี หรือบั๋ญแส่วของเวียดนาม อาหารสบาย ๆ อย่างแพนเค้กก็ถูกนำมาตีความใหม่ผ่านมุมมองระดับสากล ขณะที่พฤกษชาติจากธรรมชาติและซิตรัสสายพันธุ์พิเศษช่วยเติมความสดชื่นและสีสันให้กับทุกจานอาหาร”
In the Glass: เทรนด์ค็อกเทลที่ยกระดับประสบการณ์การดื่ม
พฤกษชาติแทนน้ำตาล
เมื่อผู้บริโภคหันมาเลือกใช้วัตถุดิบสดใหม่จากธรรมชาติมากขึ้น ความหวานในรูปแบบใหม่จึงกลายเป็นเทรนด์ที่น่าจับตาในปีหน้า น้ำตาลที่เคยใช้กันทั่วไปกำลังถูกแทนที่ด้วยผลไม้และพฤกษชาติอย่างกุหลาบ เอลเดอร์ฟลาวเวอร์ และเชอร์รี ซึ่งให้ทั้งรสชาติและความหวานอย่างเป็นธรรมชาติ ค็อกเทลอย่าง Mint to Be เลือกใช้ไซรัปยูซุแทนน้ำตาล ผสานรสสดชื่นของมินต์และจินอินฟิวส์แตงกวา เข้ากับ Italicus Rosolio di Bergamotto และน้ำมะนาว ให้เครื่องดื่มรสใส สด และดื่มง่าย มีให้ลิ้มลองที่คิมป์ตัน โรว์น พาล์มสปริงส์ ขณะที่ Banana Republic จากคิมป์ตัน คีตาเล สมุย ผสานดาร์กรัม กล้วยย่าง และชามะลิ ให้รสชาติอบอุ่น หอมละมุน ปิดท้ายด้วยกลิ่นควันอบเชย
บทบาทใหม่ของเนื้อสัมผัส
กรอบ กรุบ ฟอง ฟิซซี่ ไปจนถึงเนียนนุ่ม ปี 2569 คือปีที่ “เนื้อสัมผัส” จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นมัทฉะที่มีฟองครีมเนียนนุ่มพร้อมท็อปปิ้งกรุบกรอบ หรือชานมลาเต้เนื้อเนียนที่เพิ่มลูกเด้งหนึบอย่างกัมมี่โบบา ทั้งในครัวและหลังบาร์ เชฟและมิกโซโลจิสต์จะสนุกกับการทดลองวัตถุดิบที่เพิ่มมิติของเนื้อสัมผัสและความแตกต่างบนปลายลิ้น เปลี่ยนทุกคำและทุกจิบให้กลายเป็นประสบการณ์ที่กระตุ้นประสาทสัมผัสครบทุกมิติ
นมกล้วย ทางเลือกใหม่ของเครื่องดื่ม
นมโอ๊ตกำลังมีคู่แข่งใหม่ เมื่อนมกล้วยซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในเกาหลี เริ่มขยายกระแสสู่ระดับโลกในช่วงเดือนต่อจากนี้ นมทางเลือกจากกล้วยนี้มักจับคู่กับกาแฟหรือเอสเพรสโซได้ดี ด้วยความหวานตามธรรมชาติและเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม นมกล้วยยังเข้ากันได้กับรสชาติหวานอื่น ๆ เช่น วิปครีม อบเชย คาราเมล และช็อกโกแลต กลายเป็นเครื่องดื่มยามเช้าที่ดื่มง่ายและให้ความสดชื่น พร้อมให้บริการตามคำขอในโรงแรมคิมป์ตันบางแห่งทั่วโลก
การบ่มเพาะสายพันธุ์กาแฟ
วงการกาแฟกำลังคึกคักด้วยเทรนด์ใหม่ ๆ ตั้งแต่เมล็ดกาแฟสเปเชียลตี้ รสชาติที่สะท้อนแหล่งปลูก (terroir) สายพันธุ์ที่ทนต่อสภาพอากาศ การหมักร่วม (co-fermentation) ไปจนถึงเบลนด์ตามฤดูกาล ทั้งหมดนี้จะช่วยผลักดันให้กาแฟมีคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นและแตกต่างยิ่งขึ้น คอกาแฟเตรียมตื่นเต้นกับสายพันธุ์เมล็ดกาแฟใหม่ ๆ ที่กำลังได้รับความนิยมในโรงแรมคิมป์ตันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Gesha จากโคลอมเบีย Hambela และ Uraga Heo จากเอธิโอเปีย Robusta จากภูเขาไฟปาปัวนิวกินี หรือ Bam จากลี่เจียง มณฑลยูนนาน ซึ่งล้วนสะท้อนรสชาติและเอกลักษณ์ของแหล่งปลูกได้อย่างชัดเจน
สปริตซ์ตัวใหม่มาแรง: การิบัลดี
ค็อกเทลการิบัลดีกำลังขึ้นแท่นเป็นเครื่องดื่มอะเพอริทิโฟแก้วโปรดแทนที่ Aperol Spritz ด้วยแอลกอฮอล์ต่ำ แต่ให้รสชาติสดชื่นเต็มที่ เมนูค็อกเทลในปี 2569 จะเห็นการนำการิบัลดีมาตีความใหม่ ผ่านการจับคู่ซิตรัสสายพันธุ์พิเศษกับอะเพอริทิฟสไตล์อิตาเลียนหลากหลายรูปแบบ ความลงตัวของคัมพารีรสขมหวาน ผสานกับความเปรี้ยวสดของน้ำส้ม สร้างสมดุลของรสชาติบนปลายลิ้น ทำให้การิบัลดีเป็นค็อกเทลที่ดื่มง่ายและเหมาะกับช่วงแฮปปี้อาวร์ มีให้ลิ้มลองในโรงแรมคิมป์ตันบางแห่งทั่วโลก ตัวอย่างเมนูที่ต่อยอดจากแนวคิดนี้ ได้แก่ “Garibaldi at Bar.Yard” ที่คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ และ “Citrus Sonata” ที่คิมป์ตัน คีตาเล สมุย
เครื่องดื่มเลเยอร์หลายชั้น
แนวคิด “กินด้วยตาก่อน” ถูกยกระดับไปอีกขั้น เมื่อเครื่องดื่มแบบปั่นถูกแทนที่ด้วยเครื่องดื่มที่มีเลเยอร์ของรสชาติให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งมองเห็นและลิ้มรสได้ในแก้วเดียว ตั้งแต่ค็อกเทลไปจนถึงเครื่องดื่มกาแฟ เครื่องดื่มแบบเลเยอร์จะผสานรสชาติที่เข้ากันได้อย่างลงตัว สร้างประสบการณ์ที่ทั้งสวยงามและอร่อยในทุกแก้ว
พลังจากพืชพรรณ
เมื่อรสชาติของเครื่องดื่มแนวสมุนไพรและเอิร์ธตี้ได้รับความนิยมมากขึ้น พืชอย่างว่านหางจระเข้ ฟักแม้ว ยูคาลิปตัส และพริกไทยป่า จึงถูกนำมาใช้ในค็อกเทลมากขึ้น นับเป็นพัฒนาการล่าสุดของแนวคิด Garden to Glass ที่เชื่อมโยงวัตถุดิบจากสวนสู่แก้ว แนวคิดนี้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าพักได้ลิ้มลองวัตถุดิบตามฤดูกาลจากแหล่งท้องถิ่นที่สดใหม่ที่สุด เช่น ค็อกเทล Alianthus ที่คิมป์ตัน ดาอัน ไทเป ประเทศไต้หวัน ซึ่งผสานรสชาติของพริกไทยดำ ขิง และตะไคร้ได้อย่างลงตัว ให้รสชาติที่มีเอกลักษณ์ สดชื่น และน่าจดจำ
ค็อกเทลผสานเทคโนโลยี
บาร์กำลังก้าวข้ามเทคนิคควันแบบเดิม ๆ สู่การใช้เครื่องสร้างกลิ่นหอมและกระบวนการใหม่ที่ล้ำสมัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ switching หรือ sous-pression ซึ่งอาศัยการแช่แข็งระดับลึกเพื่อเปลี่ยนหรือดึงรสชาติออกมาอย่างแม่นยำ เทรนด์นี้ถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจนผ่านค็อกเทลอย่าง Berry Opera ที่ใช้กระบวนการหมักแลคโต (lacto-fermentation) สร้างน้ำส้มสายชูจากเบอร์รีโฮมเมด ก่อนนำมาจับคู่กับพีช ราสป์เบอร์รี และชาฮิบิสคัส อีกหนึ่งเมนูคือ Almost Famous ซึ่งนำเทคนิคโมเลกูลาร์มาใช้ สร้างสเฟียร์ผสมวิสกี้ที่ผ่านการ fat wash ด้วยน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิล ผสานคูราเซา แอ็บซินท์ช็อกโกแลต และออเรนจ์บิตเทอร์ ให้รสชาติกลมกล่อมในโทน savory โดยค็อกเทลสุดซับซ้อนเหล่านี้มีให้ลิ้มลองบนเมนูบาร์ของ คิมป์ตัน เฉียนถาน เซี่ยงไฮ้
บอร์กโดซ์และค็อกเทลไวน์สเปน
ไวน์จากภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิกกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในระดับโลก ควบคู่ไปกับค็อกเทลไวน์สเปนแบบมีฟองอย่าง Kalimotxo, Tinto Verano และ Rebujito ขณะเดียวกัน ไวน์บอร์กโดซ์ซึ่งเคยถูกพักบทบาทไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็เตรียมกลับมาโดดเด่นอีกครั้งบนเมนูไวน์ รวมถึงที่คิมป์ตัน เฉียนถาน เซี่ยงไฮ้ พร้อมกันนี้ เทรนด์ค็อกเทลจากไวน์ก็เริ่มชัดเจนขึ้น ผ่านการผสมผสานอย่างสร้างสรรค์ เช่น Sakura Sake Spritz ที่รวมสาเก จิน ซากุระ น้ำมะนาว และคาวาเข้าด้วยกัน หรือ Bordeaux Berry Fizz ที่ผสานไวน์บอร์กโดซ์ ไวน์ขาว เหล้าแบล็กเบอร์รี น้ำมะนาว และไซรัป ให้รสชาติสดใส ซ่า และดื่มสนุก
จิม วริกลีย์ ผู้จัดการฝ่ายเครื่องดื่ม โรงแรมคิมป์ตัน ซีไฟร์ รีสอร์ท แอนด์ สปา สรุปว่า “เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงทุกมุมของชีวิตเรา และเครื่องดื่มก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น โดยในปี 2569 เราจะได้เห็นนวัตกรรมใหม่ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นหลังบาร์ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีกลิ่นหอม หรือกระบวนการแช่แข็งขั้นสูง ที่ช่วยปลดปล่อยรสชาติในรูปแบบใหม่ เรายังจะได้เห็นเครื่องดื่มแบบเลเยอร์ที่ทั้งสวยและอร่อย การตีความค็อกเทลแนว garden to glass ด้วยพืชพรรณในมุมมองใหม่ รวมถึงการขยับจากค็อกเทลแอลกอฮอล์เข้มข้น ไปสู่ทางเลือกแอลกอฮอล์ต่ำอย่างการิบัลดี วัตถุดิบอย่างนมกล้วย ซึ่งมีความหวานตามธรรมชาติและเนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม จะช่วยให้เรานิยามคำว่า ‘ความสบายในแก้วเดียว’ ใหม่อีกครั้ง ท่ามกลางช่วงเวลาที่ผู้คนใช้เวลาอยู่หน้าจอมากขึ้น แขกจึงมองหาประสบการณ์ที่จับต้องได้และจริงใจ นี่คือช่วงเวลาของความอยากรู้อยากลองและความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะสำหรับคิมป์ตัน”
คิมป์ตันเป็นหนึ่งในหกแบรนด์ภายใต้พอร์ตโฟลิโอโรงแรมลักชัวรีและไลฟ์สไตล์ของ IHG Hotels & Resorts ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก คิมป์ตันเป็นผู้บุกเบิกโรงแรมบูทีคมาตั้งแต่ปี 2524 และก่อตั้งโดย Bill Kimpton ผู้ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางทั่วยุโรป และมองเห็นโอกาสในการสร้างประสบการณ์การบริการที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น
แนวคิดดังกล่าวยังคงสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยคิมป์ตันต่อยอดจากรากฐานความเป็นโรงแรมบูทีค เพื่อขยายสู่ตลาดใหม่ ๆ ทั่วโลก ปัจจุบันคิมป์ตันมีโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนารวมกว่า 145 แห่ง (เปิดให้บริการแล้ว 83 แห่ง และอยู่ในแผนพัฒนาอีก 64 แห่ง) ในราว 25 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเครือข่ายโรงแรมและร้านอาหารที่ขับเคลื่อนด้วยงานออกแบบเหล่านี้ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่มีชีวิตชีวา เปิดพื้นที่ให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างผู้คนอย่างแท้จริง และมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ภายในชุมชนที่คิมป์ตันเข้าไปดำเนินงาน
ในทุกโรงแรมและทุกการเข้าพัก คิมป์ตันมุ่งหวังให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน และออกเดินทางกลับพร้อมความรู้สึกประทับใจไม่รู้ลืม ผ่านภาพ เสียง รสชาติ และประสบการณ์ที่แปลกใหม่ คิมป์ตันถ่ายทอดความหรูหราในรูปแบบใหม่-หรูอย่างมีรสนิยม แต่ยังแฝงความสนุกและมีชีวิตชีวาอย่างลงตัว
