OPINION

วิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำทางทหารระหว่าง ไทยและกัมพูชา  โดย: ฟอนต์ สีดำ



ในระเบียบโลกที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจและผลประโยชน์ คำถามที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาสนทนาในวงเสวนาด้านความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่าง "ไทย" และ "กัมพูชา" สองประเทศที่มีประวัติศาสตร์ร่วมรากแต่แฝงไปด้วยรอยร้าวแห่งความขัดแย้งตามแนวชายแดน หลายคนอาจสงสัยว่า ในยามที่เสียงกลองศึกดังขึ้น เหตุใดกัมพูชาจึงดูเหมือนไม่สามารถต่อกรกับกองทัพไทยได้ในเชิงระบบ และเหตุใดฝ่ายไทยที่มีแสนยานุภาพเหนือกว่า จึงมักเลือกที่จะ "ออมมือ" หรือใช้กำลังอย่างจำกัด คำตอบของปริศนาแห่งยุทธศาสตร์นี้ ไม่ได้วางอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์หรือความรู้สึกชาตินิยมเพียงอย่างเดียว หากแต่ถูกถักทอด้วยตัวเลขเชิงประจักษ์ โครงสร้างอำนาจที่ซับซ้อน และทัศนคติทางการเมืองระหว่างประเทศที่ลุ่มลึก

1: มาตรวัดแห่งความต่าง-เมื่อตัวเลขบอกเล่าความจริง

หากเรามองผ่านเลนส์ของนักรัฐศาสตร์ ความมั่นคงของรัฐไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนทหารเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ "ทรัพยากร" ที่รัฐนั้นสามารถจัดสรรได้ งบประมาณด้านกลาโหมเปรียบเสมือนน้ำมันที่หล่อเลี้ยงเครื่องจักรสงคราม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้จัดสรรงบประมาณในระดับหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งมากกว่ากัมพูชาหลายเท่าตัว  ช่องว่างนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขในแผ่นกระดาษ แต่มันคือขีดความสามารถในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย การบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญที่สุดคือ "คุณภาพของการฝึกซ้อม"

กองทัพไทยถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยคุกคามในระดับรัฐ (State Actor) มีระบบกำลังสำรองที่พร้อมขยายตัวได้ทันทีในภาวะวิกฤต ขณะที่กองทัพกัมพูชายังคงให้ความสำคัญกับความมั่นคงภายในประเทศเป็นหลัก ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นว่า กองทัพไทยพัฒนาไปสู่ระดับที่เป็นสากลและเป็นระบบมากกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากการสะสมองค์ความรู้และเทคโนโลยีมาอย่างยาวนาน

2: เหนือเวหาและใต้สมุทร   สงครามที่ตัดสินกันด้วยมิติ

ในสงครามยุคใหม่ ชัยชนะไม่ได้ถูกตัดสินที่ความกล้าหาญบนพื้นดินเพียงอย่างเดียว แต่ตัดสินกันที่ "ใครมองเห็นก่อนและใครลงมือก่อน" กองทัพอากาศไทยถือเป็นหัวใจสำคัญของความได้เปรียบนี้ ด้วยฝูงบินขับไล่สมรรถนะสูง ระบบเรดาร์ที่ครอบคลุม และการเชื่อมโยงข้อมูล (Data Link) ที่ทำให้นักบินสามารถปฏิบัติการได้อย่างแม่นยำ  ในทางตรงกันข้าม กัมพูชาแทบไม่มีขีดความสามารถในการรบทางอากาศในระดับเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าหากเกิดความขัดแย้ง ฝ่ายไทยจะสามารถ "ครองอากาศ" และกำหนดทิศทางของเกมได้ทั้งหมด

มิติทางทะเลก็ไม่ต่างกัน กองทัพเรือไทยถูกพัฒนาขึ้นเพื่อปกป้องเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ในอ่าวไทยและอันดามัน มีเรือรบและระบบสนับสนุนที่ครบวงจร  ขณะที่กำลังทางเรือของกัมพูชายังจำกัดอยู่เพียงการป้องกันชายฝั่ง การไร้ซึ่งการบูรณาการระหว่างเหล่าทัพ (Joint Operations) ทำให้กองทัพกัมพูชาทำงานแบบแยกส่วน ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สำคัญในยุทธบริเวณสมัยใหม่

3: ระบบหลังบ้าน-วีรบุรุษผู้ปิดทองหลังพระ

สิ่งที่มักจะถูกมองข้ามในการวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของกองทัพคือ "ระบบส่งกำลังบำรุง" (Logistics) สงครามอาจเริ่มด้วยเสียงปืนนัดแรก แต่ชัยชนะจะยืนระยะได้ด้วยน้ำมัน อาหาร กระสุน และการรักษาพยาบาลสนาม กองทัพไทยมีโครงสร้างสนับสนุนที่ผ่านการทดสอบมาหลายครั้ง มีความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการทรัพยากร ความต่อเนื่องในการรบ (Sustainability) จึงเป็นจุดแข็งที่ทำให้ไทยสามารถรักษาแรงกดดันได้นานกว่ากัมพูชาที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากรอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ "ระบบการบังคับบัญชา" (Command and Control) ของไทยยังมีการกระจายอำนาจให้หน่วยปฏิบัติการสามารถตัดสินใจตามสถานการณ์จริงได้อย่างยืดหยุ่น ต่างจากระบบรวมศูนย์อำนาจของกัมพูชาที่อาจทำให้การตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ฉุกเฉินล่าช้าไปหนึ่งก้าวเสมอ

4: เกมอำนาจเหนือสนามรบ   เงาของมหาอำนาจ

ความขัดแย้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่เคยเป็นเรื่องของสองประเทศเพียงลำพัง ไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็น "จุดสมดุล" ระหว่างมหาอำนาจตะวันตกและตะวันออก  ความสัมพันธ์ทางทหารกับสหรัฐอเมริกาและมิตรประเทศในระดับสากล ทำให้ไทยเข้าถึงการฝึกและเทคโนโลยีที่เป็นมาตรฐานนาโต (NATO Standard) สิ่งนี้สร้างความชอบธรรมและความเกรงขามในเวทีโลก

ในขณะที่กัมพูชาเลือกอิงแอบกับอำนาจของจีนอย่างเข้มข้น แม้จะได้แรงหนุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่การพึ่งพามหาอำนาจเพียงฝ่ายเดียวกลับทำให้ "พื้นที่ในการต่อรอง" ของกัมพูชาแคบลง  ในเกมภูมิรัฐศาสตร์ ใครที่มีพื้นที่ในการขยับตัวมากกว่า คือผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า

5: ปรัชญาแห่งการยั้งมือ-ทำไมไทยจึงออมมือ?

ถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าในเมื่อไทยเหนือกว่าในทุกมิติ เหตุใดเราจึงเห็นภาพการเจรจาหรือการตอบโต้ที่ดูเหมือน "นิ่มนวล" คำตอบคือ "ชัยชนะที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องเกิดจากเสียงปืน"

  1. ต้นทุนทางเศรษฐกิจ: ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการท่องเที่ยว การทำสงครามเต็มรูปแบบจะทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนทันที ผลเสียที่ตามมาอาจมีมูลค่ามหาศาลกว่าพื้นที่ชายแดนเพียงไม่กี่กิโลเมตร
  2. ภาพลักษณ์สากล: การใช้กำลังเกินกว่าเหตุจะเปลี่ยนสถานะของไทยจาก "ผู้รักษาเสถียรภาพ" เป็น "ผู้รุกราน" ในสายตาชาวโลก ซึ่งจะส่งผลต่ออำนาจต่อรองในอนาคต
  3. พันธกรณีอาเซียน: ในฐานะพี่ใหญ่ในภูมิภาค ไทยถูกคาดหวังให้แสดงวุฒิภาวะในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี การยั้งมือจึงเป็นภาษาทางการเมืองที่สื่อว่าไทย "แข็งแกร่งพอที่จะไม่ต้องพิสูจน์ตนเองด้วยความรุนแรง"

บทสรุป: อนาคตบนเส้นด้ายทางยุทธศาสตร์

ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชาอาจไม่หายไปในเร็ววัน แต่อนาคตจะเรียกร้องให้ไทย "ฉลาดขึ้นและละเอียดขึ้น" มากกว่าแค่การมีอาวุธที่เหนือกว่า การลงทุนในระบบข่าว กรอง การสื่อสารเชิงรุก และการรักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจ จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ไทยยังคงเป็น "ผู้คุมเกม" ที่เยือกเย็น

ในท้ายที่สุด ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่การทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม แต่คือการทำให้ทุกฝ่ายตระหนักว่า "เส้นแบ่งแห่งความอดทนอยู่ตรงไหน" และการทำให้ความสงบสุขดำรงอยู่ได้ภายใต้เงาแห่งแสนยานุภาพที่พร้อมทำงานเสมอหากจำเป็น นี่คือบทสรุปของวิธีคิดแบบรัฐที่รู้จักใช้ "อำนาจ" อย่างมีศิลปะและทรงพลังที่สุด

แหล่งอ้างอิง (References)

  1. SIPRI (Stockholm International Peace Research Institute): ข้อมูลเปรียบเทียบงบประมาณทางการทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ในภูมิภาคอาเซียน
  2. The International Institute for Strategic Studies (IISS): รายงาน The Military Balance เกี่ยวกับขีดความสามารถและโครงสร้างกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศของไทยและกัมพูชา
  3. กระทรวงการต่างประเทศ (Ministry of Foreign Affairs, Thailand): นโยบายต่างประเทศและยุทธศาสตร์ความมั่นคงต่อประเทศเพื่อนบ้านภายใต้กรอบอาเซียน
  4. Council on Foreign Relations (CFR): บทวิเคราะห์เรื่องการขยายอิทธิพลของจีนในกัมพูชาและผลกระทบต่อดุลอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  5. โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (CRMA) และสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ: วารสารเชิงวิชาการด้านยุทธศาสตร์และการสงครามร่วม (Joint Operations) ในบริบทของภูมิรัฐศาสตร์สมัยใหม่