IN NEWS

มท.เรียกถกผู้ว่าฯ7จว.ชายแดนไทย-เขมร แนวปฏิบัติครบ72ชม.เน้นต้องปลอดภัย



กรุงเทพฯ-มหาดไทย ประชุมผู้ว่าฯ ชายแดนไทย-กัมพูชา ถกเข้มแนวทางปฏิบัติข้อตกลง GBC ย้ำทุกจังหวัดติดตามหยุดยิงครบ 72 ชม.อย่างใกล้ชิด และการเดินทางกลับบ้านของประชาชนต้องปลอดภัยทั้งก่อนเดินทางกลับ ระหว่างเดินทางกลับ และเมื่อเดินทางถึงบ้าน พร้อมซักซ้อมร่างหลักเกณฑ์แนวทาง

เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 68 เวลา 13.30 น. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ นายภาสกร บุญญลักษม์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กระทรวงมหาดไทย โดยมี นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พลโท ปนิวัธน์ ทรัพย์รุ่งเรือง ผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้แทนเจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร นายอัธยา นวลอุทัย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย พันเอก อาร์ม ยศสุนทร รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 นาวาอากาศเอก คมคิด เจริญศิริ ผู้อำนวยการกองกิจการชายแดนไทย-กัมพูชา สำนักกิจการชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน กรมกิจการชายแดนทหาร นายพิชญเดช โอสถานนท์ ผู้อำนวยการกองความมั่นคงกิจการชายแดนและประเทศรอบบ้าน สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมดำรงธรรม อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

จากเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 ประเทศไทยมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ณ จังหวัดจันทบุรี โดยมี พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม/ประธาน GBC ฝ่ายไทย และ พลเอก เตีย เซ็ยฮา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม/ประธาน GBC ฝ่ายกัมพูชา ได้ร่วมลงนามในถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ที่จะเป็นข้อตกลงในการหยุดยิงรวมถึงความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น และตกลงร่วมกันว่าจะหยุดยิง ในวันที่ 27 ธันวาคม 2568 เวลา 12.00 น. (เวลาท้องถิ่น) ซึ่งขณะนี้อยู่ในระยะเวลาเฝ้าระวังความปลอดภัยและประเมินการหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง 72 ชั่วโมง ซึ่งจะครบกำหนดเวลา ในวันอังคารที่ 30 ธันวาคม 2568 เวลา 12.00 น. (เวลาท้องถิ่น) เพื่อประเมินสถานการณ์และให้ทุกหน่วยงานได้เตรียมความพร้อมให้ประชาชนกลับสู่ที่พักอาศัยและได้ดำรงชีวิตตามปกติได้อย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี

นายภาสกร บุญญลักษม์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เพื่อให้เกิดความเข้าใจและมีแนวทางในการปฏิบัติของทุกหน่วยงาน หลังจากที่มีการลงนามในถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย จึงได้สั่งการให้มีการประชุมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชากระทรวงมหาดไทย ในวันนี้ เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัดชายแดน รวมถึงส่วนที่เกี่ยวข้อง รับทราบและมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ทั้ง 16 ประเด็น ที่ได้มีการลงนามในถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ให้สามารถปฏิบัติงานได้ถูกต้อง รวมถึงทราบแนวทางเกณฑ์การเยียวยาช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อเตรียมการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป ในฐานะที่กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่ดูแลพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง

"ในฐานะของตัวแทนกระทรวงมหาดไทยที่ได้เข้าร่วมการประชุม GBC ในครั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือเรื่องการนำพี่น้องประชาชนกลับบ้านซึ่งต้องมีการประเมินสถานการณ์ว่ามีความปลอดภัยจริง ๆ ภายในห้วงระยะเวลาเฝ้าระวัง 72 ชั่วโมงภายหลังการลงนามในถ้อยแถลงร่วม ซึ่งต้องได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากหน่วยทหารในพื้นที่" นายภาสกร กล่าว

พลโท ปนิวัธน์ ทรัพย์รุ่งเรือง ผู้แทนเจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กล่าวว่า ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2568 หรือ ถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ได้รับความเห็นชอบทั้ง 2 ฝ่าย โดยมีประเด็นสำคัญได้แก่ มาตรการลดระดับของสถานการณ์ (De-escalation) โดยแบ่งเป็นการปฏิบัติการทางทหาร และการปฏิบัติที่ไม่ใช่ทางทหาร รวมถึงกลไกการตรวจสอบ ในการลดความรุนแรงและความตึงเครียดในพื้นที่สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ประกอบด้วย “การปฏิบัติการทางทหาร” ข้อ (1) หยุดยิง ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2568 เวลา 12.00 น. ข้อ (2) วางกำลังที่เดิม ข้อ (5) ไม่เพิ่มเติมกำลัง ข้อ (6) ไม่ยั่วยุ ข้อ (7) ไม่ใช้กำลังทางทหารกับพลเรือน รวมถึงข้อ (4) ประชาชนกลับที่พักพิง และข้อ (11) การปล่อยเชยศึก ส่วนการปฏิบัติที่ไม่ใช่ทางทหาร ได้แก่ ข้อ (3) การปักปันเขตแดน ข้อ (8) fake news ข้อ (9) เก็บกู้ทุ่นระเบิด และข้อ (10) การปราบปราม scammer

ในส่วนกลไกการตรวจสอบการปฏิบัติตามถ้อยแถลงฯ แบ่งออกเป็น ข้อ (12) AOT หรือ ASEAN Observer Team ข้อ (13) หน่วยประสานงานชายแดน ข้อ (14) Hotlines จัดตั้งสายด่วนระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายไทยและกัมพูชา ข้อ (15) คณะทำงานร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด และ ข้อ (16) ทีมโฆษกฯ ติดต่อกัน ตรวจสอบข้อเท็จจริงข้อมูลซึ่งกันและกัน เพื่อป้องกันข้อมูลเท็จ

สำหรับประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ ข้อ (4) ที่ให้ประชาชนสามารถกลับสู่ที่อยู่อาศัยและดำรงชีวิตตามปกติในพื้นที่ในเขตของฝ่ายตนในโอกาสแรก โดยปราศจากอุปสรรคและโดยปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี

ด้านผู้แทน สมช. กล่าวว่า เรื่องการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์และกรอบอัตราให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทยกัมพูชาซึ่ง สมช. จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป

ในช่วงท้าย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับจังหวัดเพื่อสร้างความมั่นใจให้การเดินทางกลับบ้านของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชามีความปลอดภัย ทั้งก่อนเดินทางกลับบ้าน ระหว่างเดินทางกลับบ้าน และเมื่อเดินทางถึงบ้าน

"โดย "ก่อนเดินทางกลับบ้าน" ต้องได้รับการประเมินสถานการณ์จากหน่วยงานทหารในพื้นที่ว่าปลอดภัยแล้ว รวมทั้งประสานหน่วยเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด (EOD) เพื่อเข้าสำรวจพื้นที่ก่อนที่จะมีคำสั่งให้ประชาชนทยอยเดินทางกลับบ้านเรือนตามภูมิลำเนา ซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด "ขณะเดินทางกลับบ้าน" ให้จังหวัดจัดเตรียมรถรับ - ส่ง ให้ประชาชน เพื่อเดินทางกลับบ้านเรือนตามภูมิลำเนา และที่พักอาศัย โดยประสานกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด สำนักงานท้องถิ่นจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงหน่วยงานราชการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางต่อไป และ "เมื่อกลับถึงบ้าน" หากประชาชนพบวัตถุต้องสงสัย ให้รีบแจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เพื่อรายงานตำรวจ และทหารในพื้นที่ เข้าดำเนินการตรวจสอบและแก้ปัญหาต่อไป"

รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า นอกจากนี้ ตนได้กำชับให้ให้จังหวัด สั่งการให้อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งสำรวจความเสียหายด้านการดำรงชีพ และด้านการเกษตร เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2568 และมาตรการที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมถึงเร่งสำรวจความเสียหายด้านสาธารณูปโภค ไฟฟ้า และประปา รวมถึงสถานที่ราชการ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการซ่อมแซมโดยด่วน