IN NEWS

ครม.รับแนวคิดปชช.ต่อนโยบายรัฐโดยดีอี อยากให้สร้างรายได้/พึงพอใจ7เต็ม10



กรุงเทพฯ-ครม.รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายของรัฐบาล พ.ศ. 2568เก็บรวบรวมข้อมูลโดยส่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ สัมภาษณ์ประชาชนตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ขนาดตัวอย่าง 5,000 ราย ระหว่างวันที่ 17 - 23 ตุลาคม 2568

30 ธันวาคม 2568 นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายของรัฐบาล พ.ศ. 2568 ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ

นางสาวอัยรินทร์ กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายของรัฐบาล พ.ศ. 2568 สอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความคาดหวังของประชาชนต่อนโยบายและการดำเนินงานของรัฐบาล ความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาของประเทศ และความพึงพอใจในชีวิตของประชาชน เพื่อเป็นข้อมูลให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการติดตาม ประเมินผล และวางแผนกำหนดนโยบายเพื่อสร้างความเสมอภาคและเท่าเทียมในการดำเนินชีวิตให้ประชาชนทุกคน ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลโดยส่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ไปสัมภาษณ์ประชาชนตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ขนาดตัวอย่าง 5,000 ราย ระหว่างวันที่ 17 - 23 ตุลาคม 2568 นำเสนอผลในระดับทั่วประเทศและภาค จำนวน 5 ภาค คือ กรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

1.ประชาชนตัวอย่างร้อยละ 40.3 มีความคาดหวังให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ดำเนินการเรื่องลดค่าครองชีพ/ควบคุมราคาสินค้าอุปโภค - บริโภคในสัดส่วนที่สูงที่สุด รองลงมาได้แก่ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ (ร้อยละ31.5) แก้ปัญหาชายแดนไทย - กัมพูชา (ร้อยละ30.8) แก้ปัญหาภาคเกษตร เช่น ราคาพืชผลตกต่ำ ลดราคาปุ๋ย เป็นต้น (ร้อยละ19.4) และแก้ปัญหายาเสพติด (ร้อยละ18.1)
 เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ประชาชนตัวอย่างในทุกภาค (ประมาณร้อยละ 36 - 44) มีความคาดหวังให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ดำเนินการเรื่องลดค่าครองชีพ/ควบคุมราคา สินค้าอุปโภค - บริโภค ในสัดส่วนที่สูงกว่าเรื่องอื่น

2. ประชาชนตัวอย่างร้อยละ 86.8 ระบุว่า รัฐบาลควรเร่งดำเนินนโยบายสร้างรายได้ ลดรายจ่ายในสัดส่วนที่สูงที่สุด รองลงมาได้แก่ เร่งแก้ปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทย - กัมพูชา ด้วยแนวทางสันติภาพ (ร้อยละ 63.8) แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง (ร้อยละ 58.5) ปราบปรามการพนันผิดกฎหมายทุกรูปแบบอย่างจริงจัง (ร้อยละ 45.3) และขจัดทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาดและจริงจัง (ร้อยละ 32.8) เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ประชาชนตัวอย่างในทุกภาค (ประมาณร้อยละ 78 - 92) ระบุว่า รัฐบาลควรเร่งดำเนินนโยบายสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ในสัดส่วนที่สูงกว่าเรื่องอื่น

3. ประชาชนตัวอย่างร้อยละ 31.0 มีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาของประเทศในระดับมาก - มากที่สุด (มากร้อยละ 27.6 และมากที่สุดร้อยละ 3.4) ร้อยละ 52.6 มีความเชื่อมั่นฯ ในระดับปานกลาง ร้อยละ 13.3 มีความเชื่อมั่นฯ ในระดับน้อย และร้อยละ 3.1 มีความเชื่อมั่นฯ ในระดับน้อยที่สุด  เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ประชาชนตัวอย่างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 39.3 มีความเชื่อมั่นฯ ในระดับมาก - มากที่สุด ในสัดส่วนที่สูงกว่าภาคอื่น

4. ประชาชนตัวอย่างให้คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในชีวิต 7.10 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10.00 คะแนน
 เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ประชาชนตัวอย่างในภาคใต้ให้คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในชีวิต 7.32 คะแนน ในคะแนนเฉลี่ยที่สูงกว่าภาคอื่น ขณะที่ประชาชนตัวอย่างในกรุงเทพมหานคร ให้คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในชีวิต 6.75 คะแนน ในคะแนนเฉลี่ยที่ต่ำกว่าภาคอื่น

ทั้งนี้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินงานของรัฐบาลไปใช้ในการติดตาม ประเมินผล วางแผน และกำหนดนโยบายในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน