In News
สวยแสบ! ชาวบ้านแห่แจ้งจับสาวต้มตุ๋น ลวงฝากงานรัฐได้เผยเสียหายกว่า30คน
ฉะเชิงเทรา-สวยอันตราย ชาวบ้านแจ้งจับสาวสวยตุ๋นเหยื่อสร้างโปร์ไฟล์ซี้บิ๊ก ขรก.ใหญ่โต ฝากเข้ารับราชการในหน่วยงานรัฐได้ ทำชาวบ้านตายใจแห่ระดมโอนเงินค่าดำเนินการ 2-3 ล้านบาทด้วยความหวังอยากให้บุตรหลานได้เข้าทำงานในหน่วยงานราชการที่มั่นคงทางลัด ก่อนลบไลน์กลุ่มปิดมือถือเชิดเงินหนีหายหน้า เบื้องต้นพบมีผู้เสียหายมากกว่า 60 ราย ก่อนมอบตัวแทนเข้าแจ้งความร้องทุกข์ จนท.ตำรวจ ร้องศูนย์ดำรงธรรมแล้วกว่า 30 ราย เชื่อยังมีเหยื่อหลงกลอีกมาก
วันที่ 13 ส.ค.64 เวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกต้มตุ๋นฉ้อโกงทรัพย์ ที่ได้มีการส่งตัวแทนเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ต่อทางพนักงานสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา เพื่อขอให้ดำเนินคดีต่อ น.ส.สุกัญญา บัวทรัพย์ อายุ 28 ปี ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 99 ม.8 ต.คลองตะเกรา อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา ในข้อหาหลอกลวงต้มตุ๋นและฉ้อโกงทรัพย์
หลังจาก น.ส.ธนสุขการ เสริมเสรี อายุ 48 ปี ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 73/1 ม.3 ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ได้รับมอบอำนาจจากเหยื่อที่ถูกต้มตุ๋นจำนวนกว่า 30 ราย ได้อ้างว่า น.ส.สุกัญญา หรือทราย ผู้ก่อเหตุได้ล่อลวงชาวบ้านว่าสามารถฝากให้บุตรหลานเข้าทำงานในหน่วยงานที่เกี่ยวกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ และได้เรียกเก็บเงินเป็นรายบุคคล คนละหลายหมื่นบาท และบางรายถูกเรียกเก็บเป็นจำนวนกว่า 1 แสนบาท ตามตำแหน่งหน้าที่ราชการที่ต้องการฝาก
ซึ่งมีตั้งแต่ระดับพนักงานลูกจ้างของหน่วยงานราชการ ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ธุรการ บริหารงานทั่วไปหรือรับตั้งแต่ระดับผู้จบการศึกษา ชั้น ม.3 ม.6 ปวช. ปวส. ไปจนถึงตำแหน่งหน้าที่ที่สูงขึ้นในระดับปริญญาตรี จึงทำให้มีชาวบ้านในแต่ละรายได้ทำการทยอยโอนเงินไปให้ ทั้งการโอนโดยตรงไปยังบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทยของ น.ส.สุกัญญา เอง และผ่านทางคนกลางที่ช่วยทำการรวบรวมทยอยโอนนำเงินส่งไปให้ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา (20 ม.ค.64)
โดยหญิงสาวผู้ก่อเหตุรายนี้ ได้เคยไปฝึกงานและเป็นลูกจ้างของหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง และสร้างโปรไฟล์ให้ดูเป็นผู้มีความรู้จักคุ้นเคยกันกับผู้หลักผู้ใหญ่ในวงราชการจำนวนหลายคน โดยมีการนำรูปภาพของข้าราชการระดับสูง ในส่วนต่างๆ รวมถึงการนำภาพนายทหารระดับชั้นยศนายพล มาโพสต์ลงภายในกลุ่มไลน์ที่หญิงสาวรายนี้ได้ตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารกันภายใน ระหว่างชาวบ้านผู้ที่ต้องการฝากบุตรหลานเข้าทำงาน กับตัวของหญิงสาวพร้อมระบุว่าเป็นคนสนิทของรองนายกรัฐมนตรีสายทหารรายหนึ่งด้วย
โดยสิ่งที่ชาวบ้านหลงเชื่อและทำให้เกิดความมั่นใจว่าหญิงสาวรายนี้สามารถที่จะฝากให้เข้าทำงานในตำแหน่งต่างๆ ที่ถูกนำมาอ้างได้นั้น เนื่องจากเธอเคยเข้าไปฝึกงานและเข้าไปทำงานเป็นลูกจ้างของหน่วยงานราชการหน่วยงานหนึ่งจริง และยังทำหน้าที่เป็นหน้าห้องของข้าราชการระดับสูงด้วยเนื่องจากเป็นคนหน้าตาดี ทั้งยังได้มีการนำหนังสือทางราชการที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานว่าง ที่ต้องการรับสมัครรวมถึงบันทึกข้อความ คำสั่งและประกาศต่างๆ ของกระทรวงที่อ้างว่าสามารถฝากงานได้ มาโพสต์ในกลุ่มเพื่อสร้างความน่าเชื่อถืออยู่ตลอดเวลา
แต่เมื่อเวลาผ่านมานานถึงกว่าครึ่งปีแล้ว กลับไม่มีความคืบหน้าว่าบุตรหลานของชาวบ้านเหล่านี้จะสามารถเข้าทำงานได้ และเมื่อสอบถาม เธอก็ยังอ้างว่าเป็นช่วงโควิด 19 ระบาด จึงยังไม่สามารถที่จะเรียกเข้ามาทำงานได้ เมื่อชาวบ้านเริ่มเกิดข้อสงสัยและมีการสอบถามถึงข้อมูลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวันที่ 10 ส.ค.64 ที่ผ่านมาจำนวนหลายราย เธอจึงได้ลบห้องแชทไลน์และออกจากกลุ่มพูดคุย รวมถึงบล็อคเฟซบุ๊กและปิดโทรศัพท์มือถือหนีหน้าหายไป จนไม่สามารถติดต่อได้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (12 ส.ค.64)
ในวันนี้จึงได้มีการรวบรวมรายชื่อผู้เสียหายจากกลุ่มชาวบ้าน ทั้งในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา และต่างจังหวัดจำนวนกว่า 30 ราย เดินทางเข้ามาร้องทุกข์ยังศูนย์ดำรงธรรม จ.ฉะเชิงเทรา ที่ศาลากลางจังหวัด เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา โดยทางเจ้าหน้าที่ได้ให้เขียนคำร้องและยื่นเรื่องไว้ จากนั้นได้แนะนำให้เดินทางเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกตนจึงได้เดินทางเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ดังกล่าว น.ส.ธนสุขการ ระบุ
จากนั้น พ.ต.ท.วรัญญา เกิดเอี่ยม รอง ผกก.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ได้เรียกตัวแทนของผู้เสียหายเข้าไปพูดคุยซักถามยังภายในห้องทำงาน ก่อนที่จะได้ให้กลุ่มของตัวแทนผู้เสียหายไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมกับแนะนำให้ผู้เสียหายซึ่งทำหน้าที่รวบรวมเงินจากชาวบ้านและโอนส่งต่อไปให้ยัง น.ส.สุกัญญา เดินทางไปเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา
เนื่องจากผู้เสียหายซึ่งเป็นแกนหลักในการรวบรวมเงินนั้น มีบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.แปลงยาว และเริ่มรู้ตัวว่าถูกต้มตุ๋นหลอกลวงในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งถือเป็นสถานที่เกิดเหตุ เพื่อให้ทางพนักงานสอบสวนในท้องที่ทำการสอบสวนและติดตามผู้ต้องหามาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ขณะเดียวกัน นายปัญญา ประมูลจักโก อายุ 48 ปี ผู้ทำหน้าที่รวบรวมเงินจากชาวบ้านและทำการโอนเงินไปให้แก่ น.ส.สุกัญญา โดยตรงกล่าวว่า หลานชายของตนเคยไปฝึกงานยังหน่วยงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ น.ส.สุกัญญา ผู้ก่อเหตุที่เขาแหลมหญ้าใน จ.ระยอง จากนั้นหญิงสาวรายนี้ยังได้เข้าทำงานเป็นลูกจ้างที่หน่วยงานดังกล่าวด้วยหลังจากเรียนจบ จึงได้เกิดความเชื่อถือว่าหญิงสาวรายนี้สามารถที่จะฝากบุตรหลานของตนเองและชาวบ้านได้จริง
ซึ่งในการดำเนินการจะมีการเรียกเก็บเป็นค่าเอกสาร ตามตำแหน่งหน้าที่และวุฒิการศึกษา โดยผู้ที่จบการศึกษาตั้งแต่ระดับ ม.3 -ปวส. จะได้รับเงินเดือน 15,000 บาท รวมค่าครองชีพอีก 2 พันบาทเป็นเงิน 17,000 บาท ในตำแหน่งผู้พิทักษ์ป่า และมีการเรียกเก็บจากตนที่ต้องการฝากให้บุตรชายได้เข้าไปทำงานเป็นเงินจำนวน 65,000 บาท ค่าชุดปฏิบัติงาน 2 พันบาทเศษ รวมๆแล้วได้เสียเงินไปประมาณ 7-8 หมื่นบาทต่อคน
และหากผู้ที่ต้องการฝากบุตรหลานในตำแหน่งงานระดับวุฒิปริญญาตรี จะต้องจ่ายเงิน 1 แสนบาทขึ้นไปตามแต่ที่เขาจะเรียกเก็บ เพื่อให้ได้เข้าไปทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารจัดการทั่วไป และเมื่อเราโอนเงินไปให้แล้ว เขาก็จะส่งแบบฟอร์มสัญญาจ้างมาให้ ซึ่งเป็นของทางราชการและมีตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานนั้นๆ มาให้จริงๆ จึงทำให้ดูแล้วน่าเชื่อถือ
นอกจากนี้ยังเคยมีการออกหนังสือเรียกตัวจากทางสำนักงาน สบอ.8 ขอนแก่น (สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 8) ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นของจริงหรือไม่ ไปยังที่บ้านของตนในต่างจังหวัด เพื่อให้บุตรชายของตนไปรายงานตัว แต่เมื่อเดินทางไปยังที่ สบอ.8 กลับได้รับคำตอบว่ามีการเลื่อนการรายงานตัว เนื่องจากติดขัดเรื่องปัญหาเกี่ยวกับการระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งยังให้บุตรชายตนไปถ่ายภาพในชุดเครื่องแบบข้าราชการสังกัดดังกล่าว เพื่อที่จะเตรียมออกบัตรประจำตัวให้ตามระบบราชการ
นอกจากนี้ น.ส.สุกัญญา ยังได้อ้างว่าตนเองเป็นผู้ที่เรียนจบปริญญาตรี 2 ใบ เคยทำงานอยู่หน่วยพญาเสือ และยังทำงานเป็นหน้าห้องของผู้หลักผู้ใหญ่ข้าราชการระดับสูงมาแล้วอีกด้วย จึงยิ่งทำให้ตนหลงเชื่อว่าทุกอย่างเป็นของจริงทั้งหมด โดยที่ไม่ทราบว่าหญิงสาวรายนี้ ได้ถูกให้ออกจากงานมาเมื่อประมาณ 1 ปีเศษแล้ว แต่ยังมีพฤติกรรมในการมาหลอกลวงตนและชาวบ้านในครั้งนี้ ซึ่งความจริงแล้วตนนั้นไม่ได้อยากที่จะเอาเรื่อง หรือดำเนินคดีอะไรกับหญิงสาวรายนี้
เนื่องจากเคยเป็นคนรู้จักกันกับหลานชาย แต่อยากให้นำเงินที่ต้มตุ๋นหลอกลวงชาวบ้านไปมาคืน เนื่องจากชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นญาติพี่น้องและคนที่รู้จักต่อๆ กัน ที่ต่างพากันถูกหลอก ทั้งยังมีหลายรายที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากได้ไปหากู้หนี้ยืมสินเพื่อรวบรวมเป็นเงินก้อนนำมาจ่ายเป็นค่าดำเนินการให้ เพราะหวังจะให้บุตรหลานมีงานดีๆ ที่มั่นคงทำ แต่แล้วงานก็ไม่ได้ทำ อีกทั้งยังต้องมาเป็นหนี้สินอีก จึงอยากให้เขามาพูดคุยกันและนำเงินมาคืน นายปัญญา กล่าว
และกล่าวต่ออีกว่า อยากขอประกาศแจ้งเตือนผ่านทางสื่อมวลชนด้วยว่าหญิงสาวรายนี้เป็นบุคคลที่ร้ายกาจมาก และเป็นอันตรายต่อสังคมไทย หากใครรู้จักหรือพบเห็นให้ช่วยแจ้งเบาะแสมายังที่ตน ตามหมายเลขโทรศัพท์ 098-8709499 ด้วย เพราะชาวบ้านจำนวนมากกำลังได้รับความเดือดร้อน จากการกระทำแบบนี้ ซึ่งเป็นการซ้ำเติมคนที่ตกงานไม่มีรายได้ ไม่มีเงิน และยังต้องไปกู้ยืมมา
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ ที่เขากำลังลำบากกันมากอยู่แล้ว ยังจะมาถูกหลอกลวงต้มตุ๋นกันอีก จึงถือเป็นคนที่ใจดำมากเลย ซึ่งเมื่อวานนี้ตนได้เดินทางไปติดตามหาตัว น.ส.สุกัญญา จนถึงยังที่บ้านของเขา แต่พบเพียงแต่ผู้เป็นมารดาของผู้ก่อเหตุ และอ้างว่าไม่เคยพบเจอหน้าบุตรสาวมานานเป็นปีแล้ว ซึ่งตนก็ยังไม่ปักใจเชื่อ นายปัญญา กล่าว
สนทะนาพร อินจันทร์/ฉะเชิงเทรา