In Bangkok

กทม.ร่วมกับสธ.และกลุ่มDengue-zero สู้ไข้เลือดออกย้ำวัคซีน-กำจัดยุงช่วยได้



กรุงเทพฯ-(8 ส.ค. 68) นพ.สุนทร สุนทรชาติ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ร่วมแถลงข่าว “ยอดไข้เลือดออกพุ่ง หยุดข่าวร้ายด้วยการป้องกัน” ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 3 โรงแรมดิโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน

กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมด้วยกรุงเทพมหานคร แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมนักบริหารโรงพยาบาลประเทศไทย สมาคมโรงพยาบาลเอกชนแห่งประเทศไทย ในนามกลุ่มความร่วมมือ Dengue-zero จัดงานแถลงข่าว “ยอดไข้เลือดออกพุ่ง หยุดข่าวร้ายด้วยการป้องกัน” กระตุ้นให้ประชาชนร่วมป้องกันโรคไข้เลือดออกแบบเชิงรุก เพื่อลดความสูญเสียจากโรคที่ป้องกันได้ เร่งเดินหน้าใช้ 4 มาตรการ รับมือการระบาดในทุกพื้นที่ และย้ำเตือนประชาชนว่าไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้ตลอดปีและทุกคนมีความเสี่ยง ไม่จำกัดเพศหรือวัย โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวอาจจะเสี่ยงอาการรุนแรงสูงหากป่วย พร้อมแนะนำการฉีดวัคซีนซึ่งเป็นมาตรการส่วนบุคคลที่ได้ผลดีที่สุดในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรคไข้เลือดออก ที่ทำควบคู่กับมาตราการต่าง ๆ เกี่ยวกับยุงพาหะเพื่อป้องกันโรคในชุมชน 

นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในนามผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การป้องกันโรคไข้เลือดออกไม่ใช่แค่การตอบโต้เมื่อเกิดการระบาด แต่คือการลงทุนระยะยาวในสุขภาพของคนไทย และนี่คือจุดยืนของกระทรวงสาธารณสุข ที่ยึดมั่นในพันธกิจของการ “พัฒนาและอภิบาลระบบสุขภาพอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน” โดย สธ. ตั้งเป้าลดจำนวนผู้ป่วยให้ไม่เกิน 70,000 ราย และอัตราป่วยตายต่ำกว่า 0.09% ถึงแม้เราจะไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% แต่เราสามารถลดความรุนแรง และปกป้องประชาชนและกลุ่มเสี่ยงจากโรคไข้เลือดออกได้ ด้วยมาตรการป้องกันและส่งเสริมภูมิคุ้มกัน รวมถึงการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน โดย สธ.มุ่งมั่นทำงานกับทุกภาคส่วนเพื่อให้คนไทยปลอดภัยจากโรคที่สามารถป้องกันได้อย่างไข้เลือดออก และเพื่อการมีสุขภาพที่ดีอย่างถ้วนหน้า

ศ.เกียรติคุณ นพ. อมร ลีลารัศมี กรรมการแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานความร่วมมือ Dengue-zero กล่าวว่า สถานการณ์ไข้เลือดออกมีความน่าเป็นห่วง จากตัวเลขที่มีรายงานเข้ามา ในปีนี้มีผู้ป่วยมีอาการมากกว่า 30,000 ราย และอาจพุ่งสูงขึ้นในช่วงฤดูฝนที่มีแหล่งเพาะพันธุ์ยุงเพิ่มขึ้น ซึ่งการดำเนินงานของกลุ่มพันธมิตร Dengue-zero ที่เข้าสู่ปีที่ 4 นี้ มีเป้าหมายสูงสุดคือไม่มีใครเสียชีวิตจากโรคนี้ ซึ่งปัจจุบันสิ่งที่น่ากังวลคือผู้เสียชีวิตจากไข้เลือดออก 80% อยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต อย่างไรก็ตาม โรคไข้เลือดออกไม่ได้ส่งผลกระทบแค่กับผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความทุกข์ทรมานและความกังวลใจของคนใกล้ชิด หรือที่เรียกว่า “ไข้เลือดออกมือสอง” การป้องกันจึงเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ทายากันยุง ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันและเลือกเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ที่สำคัญเมื่อมีไข้แล้วอย่าซื้อยารับประทานเอง ควรไปพบแพทย์และรับคำปรึกษาเรื่องการดูแลรักษาและป้องกันเมื่อหายป่วยให้คนในครอบครัว

พญ.วรยา เหลืองอ่อน ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565 - 2567) พบผู้ป่วยปีละ 45,145 - 158,620 ราย โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิต 29 - 181 ราย และปี 2568 นี้สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 กรกฎาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสมแล้ว 32,244 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 32 ราย ซึ่งตัวเลขการเสียชีวิตจากไข้เลือดออกในปีนี้พุ่งสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีปัจจัย อาทิ มารักษาช้า, ไม่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นไข้เลือดออก, มีโรคประจำตัว หรือใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ซึ่งทำให้เลือดออกง่าย 

ขอให้ประชาชนอย่าชะล่าใจ เพราะไข้เลือดออกไม่เลือกเวลาระบาด ทุกคนสามารถติดเชื้อไข้เลือดออกได้ตลอดปี ควรตระหนักรู้การป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง ควรพบแพทย์ทันทีหากมีไข้รุนแรงโดยไม่เจ็บคอหรือไอ นอกจากนี้ กองโรคติดต่อนำโดยแมลงได้เพิ่มเกราะป้องกันโรคให้แก่ประชาชน ด้วยการสื่อสารความเสี่ยงของโรคผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสารของการระบาดและจำนวนผู้ป่วยในพื้นที่อย่างทันท่วงที และเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือให้อาสาสมัครสาธารณสุขเฝ้าระวังการระบาดในพื้นที่ของตนเอง พร้อมย้ำเตือนให้ชุมชนตระหนักถึงการป้องกันตนเองและครอบครัวจากโรคไข้เลือดออก

เพื่อให้ประเทศไทยหยุดข่าวร้ายจากไข้เลือดออกไปด้วยกัน กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกผ่าน 4 มาตรการหลัก ได้แก่
1. เฝ้าระวังเข้มทุกพื้นที่ โดยใช้มาตรการ 3 เก็บ ได้แก่ เก็บบ้าน เก็บน้ำ เก็บขยะ: สำรวจและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ใช้มาตรการ 3-7 วันเมื่อพบผู้ป่วย พร้อมประสานหน่วยงานท้องถิ่นและสาธารณสุขทันที
2. ควบคุมยุงร่วมกับชุมชน: ทำกิจกรรม “ถังแตก” ทุกสัปดาห์ ร่วมกับ อปท. อสม. อสส. และจิตอาสา พร้อมพ่นสารเคมีในบ้านผู้ป่วยเพื่อกำจัดยุงพาหะ
3. ตรวจรักษาเร็ว: กระจายชุดตรวจ NS1 ให้สถานพยาบาล เพื่อวินิจฉัยไว ช่วยลดอัตราเสียชีวิต
4. สื่อสารสร้างการมีส่วนร่วม: ให้ความรู้ประชาชน พร้อมประชุมวางแผนควบคุมโรคทันทีเมื่อเกิดการระบาด และเน้นให้สถานพยาบาลหลีกเลี่ยงการใช้ยาต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs ในผู้ป่วยต้องสงสัยไข้เลือดออก

นพ.สมควร หาญพัฒนชัยกูร เลขาธิการนายกสมาคมนักบริหารโรงพยาบาลประเทศไทย กล่าวว่า สมาคมฯ ให้ความสำคัญกับการให้ความรู้และอบรมบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มาซ้ำซึ่งมีอัตราป่วยและเสียชีวิตสูง นอกจากนี้ยังเน้นการรณรงค์กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในชุมชนและโรงเรียน พร้อมกล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีวัคซีนที่สามารถป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรค ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียและอัตราการเสียชีวิตได้

นพ.ปกรณ์ ตุงคะเสรีรักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรมอนามัยมีบทบาทหน้าที่อภิบาลระบบส่งเสริมสุขภาพและสร้างมาตรฐานอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยเน้นกลุ่มเสี่ยงในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียน พร้อมย้ำว่าการจัดการไข้เลือดออกไม่ใช่หน้าที่ของภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ทั้งภาคเอกชนและภาคประชาสังคมต้องร่วมกันสร้างความตระหนักรู้และเฝ้าระวัง

นายจรัส รัชกุล ผู้อำนวยการกองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงบทบาทสำคัญของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) ในการขับเคลื่อนงานเชิงรุกในชุมชนเพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพได้ สร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนเพื่อลดการป่วยจากไข้เลือดออก

ผศ.นพ.มนศักดิ์ ชูโชติรส รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า รพ.ศิริราชมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดผู้ป่วย ลดความรุนแรง และลดอัตราตายจากไข้เลือดออก ผ่านการเรียนการสอน (ผลิตแพทย์) การวิจัย (สนับสนุนการวินิจฉัยการรักษาโรค รวมทั้งวิจัยวัคซีนเพื่อนำไปพิจารณาปรับการรณรงค์การฉีดวัคซีน หรือนำไปสู่การบรรจุเป็นโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแห่งชาติ) และการรักษาผู้ป่วยอาการรุนแรงซับซ้อน

นพ.สุนทร สุนทรชาติ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายสำคัญของ กทม. ในการพัฒนาให้เมืองเป็น Healthy City (เมืองสุขภาพดี) ที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพแข็งแรง โดยกล่าวว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรประมาณ 10 ล้านคน ทั้งผู้ที่อยู่อาศัย และผู้ที่เดินทางไปมา ซึ่งไข้เลือดออกเป็นหนึ่งในโรคที่เป็นเป้าหมายของ กทม. 

โดยรองปลัดฯ ได้อธิบายว่า ไข้เลือดออกเป็นเรื่องของ One Health ที่เชื่อมโยงระหว่างคน สัตว์ (แมลง) และสิ่งแวดล้อม และการควบคุมการระบาดจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทั้งสามนี้ ซึ่ง กทม. ได้มีมาตรการเชิงรุกและการป้องกัน ประกอบด้วย การจัดตั้ง War Room ในทั้ง 50 สำนักงานเขต เพื่อติดตามสถานการณ์และมีการประชุมเป็นประจำ การเฝ้าระวังและควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในชุมชน โรงเรียน ศาสนสถาน และโรงพยาบาล โดยดำเนินการสำรวจแหล่งน้ำขัง ปรับปรุงภูมิทัศน์สิ่งแวดล้อม และจัดกิจกรรม Big Cleaning Day ลงพื้นที่ร่วมกับภาคประชาชนอย่างสม่ำเสมอ การกำหนดพื้นที่ปลอดลูกน้ำยุงลาย เพื่อสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้อย่างตรงจุด การสื่อสารและสร้างความตระหนักรู้กับชุมชน โดยทำงานผ่านเครือข่าย อสส. ซึ่งมีจำนวนถึง 13,000 คน ลงพื้นที่ในชุมชนต่าง ๆ การปลูกฝังพฤติกรรมป้องกันโรคให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในกลุ่มนักเรียนและครูผ่านโครงการ Dengue-zero School Project ภายใต้ความร่วมมือ Dengue-zero ซึ่งช่วยลดดัชนีลูกน้ำยุงลายในโรงเรียนได้ตามเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในการเข้าถึงพื้นที่เช่นคอนโดมิเนียม ซึ่ง อสส. ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และเป็นที่อยู่อาศัยของคนจำนวนมาก นอกจากนี้ขอให้ทุกคนช่วยกันดูแลสถานที่ทำงานและสถานประกอบการ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพื้นที่สำคัญที่มียุงอยู่

ในส่วนของความพร้อมในการรับมือและการรักษา กทม. มีศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง คลินิกอบอุ่น 200 แห่ง และโรงพยาบาลในสังกัด 11 แห่ง มีชุดตรวจ NS1 ซึ่งเป็นชุดตรวจแบบเร็ว ประจำอยู่ในทุกหน่วยบริการสุขภาพของ กทม. เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคได้รวดเร็ว ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนสังเกตอาการ หากมีไข้สูง 2-3 วันแล้วไข้ไม่ลด ให้คาดว่าอาจเป็นไข้เลือดออก และควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา นอกจากนี้ควรช่วยกันปรับปรุงในเรื่องของสิ่งแวดล้อม การแยกขยะ ไม่ทิ้งขยะในที่รกร้างว่างเปล่า เพื่อไม่ให้เกิดน้ำขัง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง 

“โครงการเหล่านี้ที่ทำร่วมกับพันธมิตร Dengue-zero จะเป็นก้าวสำคัญในการเอาชนะโรคไข้เลือดออกและมุ่งสู่เป้าหมาย Dengue-Zero (ปลอดไข้เลือดออก) ให้ได้ภายในปี 2030 โดยเชื่อว่าวัคซีนไข้เลือดออกเป็นความหวังหนึ่งในอนาคตที่จะใช้ในการควบคุมโรค ซึ่งการควบคุม การป้องกัน และการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องตระหนักและปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง กทม. จะเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นฟันเฟืองในการช่วยหยุดข่าวร้ายจากโรคไข้เลือดออกให้ได้อย่างยั่งยืน” รองปลัดฯ สุนทรกล่าว

รศ.นพ.ภิรุญ มุตสิกพันธุ์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ได้ย้ำว่าไข้เลือดออกเป็นโรคระบาดที่พบได้บ่อยในไทย ซึ่งไม่ได้เป็นเฉพาะในเด็ก แต่พบในผู้ใหญ่จำนวนมาก และอัตราเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยสาเหตุที่ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคประจำตัวมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากผู้สูงอายุมีสภาพร่างกายที่เสื่อมถอยลงตามอายุ และอาจมีหลายโรคร่วมกัน ทำให้การรักษาและการฟื้นตัวเป็นไปได้ยาก ส่วนผู้ป่วยโรคหัวใจอาจมีภาวะช็อกได้ง่าย และการให้สารน้ำทำได้ยาก ซึ่งอาจทำให้ความดันโลหิตตกและเสียชีวิตได้ง่ายกว่าผู้ที่อายุน้อยกว่า หรือโรคประจำตัวบางอย่างซึ่งยาที่ใช้รักษาอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ทำให้มีเลือดออกง่ายขึ้นและควบคุมภาวะเลือดออกได้ยาก หรือผู้ป่วยเบาหวานซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ ทั้งนี้ ปัจจุบันการป้องกันทำได้ดีขึ้นเนื่องจากมีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกเข้ามา โดยหากป้องกันแต่เนิ่น ๆ มีการให้วัคซีนป้องกัน ร่วมกับการควบคุมลูกน้ำยุงลาย ก็จะทำให้กำจัดโรคออกจากประเทศไทยได้ในอนาคต

ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ช่วยป้องกันโรคและลดความเสี่ยงจากโรครุนแรงที่อาจทำให้เสียชีวิต การฉีดวัคซีนจึงเป็นทางเลือกด้านสุขภาพที่คุ้มค่า ลดอัตราการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว เด็กในช่วงวัยเรียนเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรค หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาช้า อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ภาวะช็อก และเสียชีวิตได้โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว แต่แม้ผู้ที่แข็งแรงดีมาก่อนก็สามารถป่วยแบบรุนแรงได้ ปัจจุบันโรคไข้เลือดออกยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะ มีเพียงการเฝ้าติดตามรักษาตามอาการ การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ฉีดวัคซีนควบคู่กับมาตรการอื่น ๆ วัคซีนที่มีใช้ในปัจจุบัน ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไปทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน ไม่ต้องตรวจเลือดก่อนฉีด ช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ลดความรุนแรงของโรคและอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 80 - 90% ผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกแล้ว ก็ยังควรฉีดวัคซีน เพราะสามารถเป็นซ้ำได้ และการติดเชื้อครั้งที่สองอาจรุนแรงกว่า วัคซีนมีความปลอดภัยสูง และมีผลข้างเคียงน้อยมาก โดยมีการขึ้นทะเบียนกว่า 40 ประเทศ และใช้แล้วทั่วโลกกว่า 15 ล้านโดส การฉีดวัคซีนร่วมกับมาตรการจัดการกับยุงและสิ่งแวดล้อมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรค ควรปรึกษาแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อวางแผนป้องกันอย่างเหมาะสมทั้งครอบครัว และควรจัดการให้มีการเข้าถึงวัคซีนให้มากขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชน

ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ความร่วมมือ Dengue-zero ได้เน้นย้ำถึงผลกระทบของไข้เลือดออกที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ป่วย แต่ยังรวมถึงคนใกล้ชิดหรือผู้ดูแล พร้อมแนะนำว่าเนื่องจากเป็นโรคที่คาดเดาไม่ได้ จึงควรหาทางป้องกันโดยการฉีดวัคซีน

สุดท้าย คุณแจง - ปุณณาสา พรหมยศ ได้เล่าประสบการณ์ที่ลูกสาวป่วยเป็นไข้เลือดออกว่าทำให้แม่เกิดความกังวลมาก โดยเฉพาะช่วงที่ลูกมีไข้สูงแต่ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ และช่วงที่ไข้เริ่มลดลงเพราะกลัวภาวะช็อก หลังจากประสบการณ์นี้ จากที่เคยคิดว่าโรคนี้เป็นเรื่องไกลตัวมาตลอด ได้เปลี่ยนพฤติกรรมในบ้านด้วยการกำจัดแหล่งน้ำขังและปิดฝาภาชนะต่าง ๆ