In News
รัฐฯหนุนปลูกกาแฟชูอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น เมล็ดพันธุ์อะราบิกาชนะกิโลละ2.3หมื่นล.
กรุงเทพฯ-รัฐบาลส่งเสริมปลูกกาแฟไปได้สวย ก.เกษตรชูอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น เมล็ดพันธุ์อะราบิกาชนะประกวด กิโลละ 23,000 บาท
วันนี้ 11 กันยายน 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลส่งเสริมการปลูกกาแฟ เนื่องจากประเทศไทยมีสภาพพื้นที่เหมาะสมกับการปลูกกาแฟ จึงทำให้สามารถปลูกกาแฟในสายพันธุ์ที่ตลาดต้องการได้ทั้งพันธุ์อะราบิกาและพันธุ์โรบัสต้า โดยเน้นให้เกษตรกรเลือกการปลูกกาแฟตามสายพันธุ์ที่เหมาะสมต่อพื้นที่เป็นหลัก และความคุ้นชินของเกษตรกร รวมถึงตลาดรับซื้อผลผลิตในพื้นที่ โดยทางกระทรวงเกษตรฯและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกำหนดแผนบริหารจัดการการผลิตกาแฟจากภาคเหนือจรดใต้ สร้างคุณภาพได้ครบวงจรตั้งแต่การผลิต การแปรรูป ถึงการตลาด ผลผลิตคุณภาพดีเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สร้างรายได้ และความยั่งยืนแก่เกษตรกร ซึ่งปัจจุบันกาแฟถือเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มแบบก้าวกระโดด
นางสาวรัชดา กล่าวว่า ล่าสุด เมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯได้จัดงานประมูล 10 สุดยอดกาแฟไทย ปี 2565 ได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟระดับประเทศมาร่วมทดสอบรสชาติกาแฟ และคัดเลือกเมล็ดกาแฟที่เป็น 10 สุดยอดกาแฟไทยใน 4 ประเภทอย่างพิถีพิถัน รวมทั้งสิ้น 40 รายการ โดยเมล็ดกาแฟอะราบิกา ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในประเภทกระบวนการผลิตแบบกึ่งแห้ง (Semi-Dry / Honey Process) ของเกษตรกรจากจังหวัดน่าน ซึ่ง ได้รับการประมูลมีมูลค่าสูงที่สุด คือกิโลกรัมละ 23,000 บาท ในขณะที่กาแฟอะราบิกาแบบเปียก หรือ Wet / Fully Wash Process มีมูลค่าการประมูลสูงสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 3,050 บาท ส่วนกาแฟอะราบิกาแบบแห้ง หรือ Dry Process มีมูลค่าการประมูลสูงสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 5,050 บาท และกาแฟโรบัสต้า มีมูลค่าการประมูลสูงสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 5,500 บาท
นางสาวรัชดา กล่าวว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการเกษตรดูแลเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟตลอดห่วงโซ่การผลิต เพื่อยกระดับคุณภาพกาแฟไทยให้มีอัตลักษณ์ของกาแฟเฉพาะถิ่น รวมถึงบูรณาการหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ สถาบันการศึกษา และเกษตรกร เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและสร้างการเกษตรยั่งยืนที่มีความทันสมัย ที่สำคัญ เกษตรกรต้องสามารถขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ทั้งนี้ ด้วยนโยบายการตลาดนำการผลิต ควบคู่กับการส่งเสริมให้เกษตรกรรวมตัวกันในรูปแบบแปลงใหญ่หรือวิสาหกิจชุมชนเพื่อนำผลผลิตกาแฟมาแปรรูปในรูปแบบกาแฟพร้อมดื่ม และสร้างแบรนด์สินค้าเพื่อให้เป็นที่รู้จัก ปัจจุบันราคาเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงมาก ต่างจากที่ก่อนหน้านี้ราคาเมล็ดกาแฟถูกมาก และมีแปลงใหญ่หลายแห่งประสบความสำเร็จ สามารถสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เช่น กาแฟเขาทะลุ กาแฟถ้ำสิงห์ หรือกาแฟกระบี่ เป็นต้น