In News

ศบค.กทม.ลุยตรวจเชิงรุกหาผู้ป่วยโควิด เน้นกลุ่มเสี่ยงในโรงงาน-ตลาดต่อเนื่อง 



กรุงเทพฯ-ศบค.กทม.วันนี้ถกเร่งตรวจเชิงรุกค้นหาผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มเสี่ยงในโรงงานและตลาดอย่างต่อเนื่อง 

(14 ม.ค.64) พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กรุงเทพมหานคร (ศบค.กทม.) เป็นประธานการประชุม ศบค.กทม. ครั้งที่ 10/2564 โดยมี คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร คณะโฆษกกรุงเทพมหานคร ผู้แทนสำนัก ผู้แทน บช.น. ผู้แทน กอ.รมน.กทม. ผู้แทนกลุ่มเขต และผู้แทนส่วนราชการในสังกัดกรุงเทพมหานครที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร 

ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังการประชุมฯ ว่า วันนี้ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีผู้ป่วยรายใหม่ 14 ราย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้จำนวนผู้ป่วยลดลงมาจากประกาศ 10 มาตรการเร่งด่วน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 63 มาตรการควบคุม 4 สถานที่เสี่ยง เพื่อป้องกัน Super Spreader ตั้งแต่ 21 ธ.ค. 63 - 15 ม.ค. 64  มาตรการปิดสถานบริการ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 63 - 4 ม.ค. 64  ตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง การสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ฉบับที่ 14 เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.63 ฉบับที่ 15 เมื่อวันที่ 3 ม.ค.64 ฉบับที่ 16 เมื่อวันที่ 5 ม.ค.64 ซึ่งก่อนหน้านั้นจะเห็นว่าตัวเลขผู้ป่วยจะสูง เนื่องจากมีการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงหรือสถานบริการ ขณะนี้กรุงเทพมหานครสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตามปัจจัยสำคัญอื่นๆ ก็มีส่วนสำคัญในการพิจารณาถึงมาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด เช่น การแพร่ระบาดในพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง ซึ่งผู้ป่วยในกรุงเทพมหานครหลายรายไม่ได้ติดโรคดังกล่าวจากพื้นกรุงเทพมหานคร แต่ติดโรคมาจากการเดินทางไปจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดหรือสถานบริการ ส่วนการตรวจเชิงรุก กรุงเทพมหานครได้ตรวจหาเชื้อ 10,090 ตัวอย่าง โดยวิธีการ SWAB 1,090 ราย และการตรวจน้ำลาย 8,981 ราย และจะเร่งดำเนินการตรวจเชิงรุกอย่างต่อเนื่องให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้กองทุนประกันสังคม ได้อนุมัติให้กรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีความเสี่ยง ได้รับโควตาการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงในโรงงาน ในตลาด และอาชีพเสี่ยงต่างๆ 

โฆษกของกรุงเทพมหานคร กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องวัคซีนที่จะนำมาฉีดให้กับประชาชนนั้น นายกรัฐมนตรีได้ย้ำอย่างชัดเจนว่าคนไทยทุกคนจะต้องได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งการควบคุมโรคเป็นเรื่องสำคัญที่สุด โดยผู้ที่จะได้รับวัคซีนก่อนจะเป็นบุคลาการทางการแพทย์ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการควบคุมโรค เพราะเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย ส่วนผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนนั้น ทางการแพทย์อยู๋ระหว่างการพิจารณาร่วมกันว่าจะเลือกใช้วัคซีนชนิดใด หรือสามารถใช้วัคซีนแต่ละชนิดร่วมกันได้ ปัญหาสำคัญไม่ใช่เกิดจากงบประมาณ หากรัฐบาลไม่ได้จัดสรรงบประมาณให้ กรุงเทพมหานครก็เห็นถึงความจำเป็นและพร้อมที่จะใช้งบประมาณที่มีอยู่ เพราะคำนึงถึงชีวิตของคนสำคัญเสมอ

อย่างไรก็ตามเนื่องจากแต่ละประเทศมีความต้องการวัคซีนเหมือนกัน เมื่อความต้องการมีมาก แต่การผลิตมีน้อย จึงต้องใช้ระยะเวลาในการสั่งซื้อ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงสำนักอนามัย สำนักการแพทย์ กทม.ได้พูดคุยเจรจาเพื่อหาทางในการนำเข้ามาก่อน โดยพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้วัคซีนมาโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้จะต้องเป็นวัคซีนที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด เพื่อประชาชนชาวกรุงเทพมหานครและคนไทยทุกคน