In News

นายกหารือผู้นำเขตศก.เอเปค-แขกพิเศษ รับมือวิกฤตเศรษฐกิจโลก-ภาวะถดถอย



กรุงเทพฯ-นายกฯ ร่วมหารือกับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และแขกพิเศษ เพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกและภาวะถดถอยที่กำลังเกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ และนายกฯหารือผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและแขกพิเศษ ช่วงอาหารกลางวัน ร่วมกันแสวงหาแนวทางส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมท่ามกลางความท้าทาย

วันนี้ (18 พฤศจิกายน 2565) เวลา 12.30 น. ณ ห้อง Plenary Hall 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค กับแขกพิเศษ ได้แก่ นายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ หัวข้อ “การค้าและการลงทุนที่ยั่งยืนระหว่างเอเปคกับหุ้นส่วนด้านการค้า” ภายหลังเสร็จสิ้น นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นับเป็นครั้งที่ 3 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค โดยพบว่าอยู่ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่แตกต่างไปจาก 2 ครั้งแรกที่ไทยเคยเป็นเจ้าภาพโดยสิ้นเชิง ในเชิงเศรษฐกิจ ผลกระทบจากโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูง ความไม่มั่นคงด้านพลังงานและอาหาร ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่หยุดชะงัก และความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความท้าทายใหม่ๆ 

“เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” ซึ่งเป็นหัวข้อการประชุมเอเปคปี 2565 อยู่บนพื้นฐานของแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว หรือแนวคิดเศรษฐกิจ BCG เพื่อขับเคลื่อนงานภายใต้ 3 เสาหลักของวิสัยทัศน์ปุตราจายาของเอเปค ปี ค.ศ. 2040 ตลอดปีที่ผ่านมาได้มีการพบปะกับภาคเอกชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และได้เป็นเจ้าภาพจัดการการประชุมระดับรัฐมนตรี 8 ครั้ง เพื่อพัฒนาความร่วมมือของเอเปคในประเด็นที่เกี่ยวข้อง และมีความคืบหน้าอย่างมาก โดยไทยตระหนักดีว่าความร่วมมือกับพันธมิตรนอกเอเปคเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการฟื้นฟูและการเติบโตในระดับที่กว้างขึ้น เพื่อการพัฒนาที่แข็งแกร่ง สมดุล ยืดหยุ่น ยั่งยืนและครอบคลุม

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเช้านี้ผู้นำเอเปคได้หารือเพื่อการขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไร และได้กล่าวเชิญชวนสู่การหารือเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนเร่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งเอเปคเป็นเวทีที่มุ่งขับเคลื่อนการค้าที่เสรีและเปิดกว้างมาโดยตลอด และในปีนี้ได้ริเริ่มทบทวนการหารือเรื่องเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอฟแทป ผลักดันการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค 

โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญแขกพิเศษกล่าวถ้อยแถลง โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพ ความเชื่อใจกัน โดยฝรั่งเศสสนับสนุนการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตที่ยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทาย โดยในส่วนของซาอุดีอาระเบีย และ OPEC มุ่งมั่นเสริมสร้างการเจริญเติบทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการสร้างเสถียรภาพในตลาดพลังงาน และความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด พร้อมทั้งมุ่งมั่นสร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม

ซึ่งภายหลังจากการแสดงความคิดเห็นของผู้นำเขตเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรีได้ กล่าวปิดถึงความเห็นของผู้นำที่เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน เห็นความสำคัญของการค้าและการลงทุนที่ยั่งยืนเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก สำหรับไทย การค้าและการลงทุนยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างการเจริญเติบโต และเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันต้องสร้างเสริมให้คนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะ MSMEs สตรี และ เยาวชน เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ข้อมูล และเทคโนโลยี เพื่อประโยชน์ที่ส่งถึงคนทุกกลุ่ม

นายกฯหารือผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและแขกพิเศษ ช่วงอาหารกลางวัน ร่วมกันแสวงหาแนวทางส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมท่ามกลางความท้าทาย

และช่วงเที่ยง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการหารือระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับแขกพิเศษในช่วงอาหารกลางวัน ภายใต้หัวข้อ “การส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและวิกฤติเงินเฟ้อ” โดยภายหลังเสร็จสิ้น นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญจากการหารือ ดังนี้ 

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงรายงานภาพรวมเศรษฐกิจโลกของ IMF ประจำปี 2565 ซึ่งคาดการณ์ว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกจากนี้จนถึงปี 2566 จะชะลอตัว ระดับเงินเฟ้อยังคงเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วและเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนาในทิศทางและระดับที่ต่างกัน ตลอดจนส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ทำให้ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนยิ่งกว้างขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่า การสร้างการเติบโตหลังโควิด-19 ที่ครอบคลุมและยั่งยืนมากขึ้น จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการบรรเทาผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง และช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับรากฐานทางเศรษฐกิจและสังคม 

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับฟังและแลกเปลี่ยนมุมมองร่วมกับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและแขกพิเศษ เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมท่ามกลางสภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงแนวทางเพิ่มพูนความร่วมมือเพื่อลดช่องว่างการพัฒนา และความเหลื่อมล้ำภายในและระหว่างเขตเศรษฐกิจ 

โดยภายหลังการแลกเปลี่ยนมุมมองของผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและแขกพิเศษ นายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปการหารือ โดยผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและแขกพิเศษ เห็นพ้องกันว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายต่าง ๆ ยังมีปัจจัยบวกจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และการค้าการลงทุนที่คำนึงถึงความสมดุลระหว่างธุรกิจกับสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปสู่คนทุกกลุ่ม รวมถึงการขจัดความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน เพื่อนำไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นความจำเป็นในการพัฒนาเครือข่ายรองรับทางสังคม การส่งเสริมการเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจของ MSMEs ส่งเสริมบทบาทของสตรี รวมถึงการสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การหารือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นการส่งเสริมความร่วมมือที่สร้างสรรค์ระหว่างกัน ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ท้าทาย