In News
ปลื้ม!!IMFมองศก.ไทยปี66โตสวนกระแส นโยบายรัฐชัดเจน'นักลงทุน-นทท.'เชื่อมั่น

กรุงเทพฯ-นายกรัฐมนตรียินดี IMF มองเศรษฐกิจไทยปีหน้าโตสวนทางเศรษฐกิจโลก ชี้ความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลส่งผลสำคัญต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน นักท่องเที่ยวและผู้ประเมินประเทศไทย
วันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับทราบถึงรายงานที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณการเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.7 ในปี 2566 จากร้อยละ 2.8 ในปีนี้ พร้อมกับคาดว่าการว่างงานของไทยจะอยู่ในอัตราต่ำที่สุดในเอเชียแปซิฟิกที่ 1.0% โดยไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในเอเชียที่ IMF มองว่าเศรษฐกิจจะยังขยายตัวได้ท่ามกลางการชะลอตัวของทั่วโลกที่เผชิญกับความท้าทายจากภาวะเงินเฟ้อ และต้นทุนการครองชีพที่สูงขึ้น
นายกรัฐมนตรี ยินดีกับผลการประเมินของ IMF และเห็นว่าความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลมีผลสำคัญอย่างยิ่งต่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยขององค์กรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งนับแต่สามารถจัดการกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ให้อยู่ภายใต้การควบคุมได้ รัฐบาลได้เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเฉพาะการเตรียมภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ แรงงานจำนวนมากให้พร้อมรับนักท่องเที่ยว การมีมาตรการดึงดูดนักลงทุน เปิดพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆ มาตรการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย
“ในภาคการท่องเที่ยวรัฐบาล ได้เตรียมตัวมาตั้งแต่กลางปี 2564 ด้วยการนำร่องภูเก็ตแซนด์บ็อก แล้วทยอยเปิดประเทศอย่างระมัดระวัง จนถึงขณะนี้สามารถเปิดประเทศได้เต็มที่ นักท่องเที่ยวทั่วโลกก็เดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหากจีนที่เป็นตลาดท่องเที่ยวสำคัญของไทยผ่อนคลายนโยบายจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งความชัดเจนของนโยบายนี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของทั้งนักลงทุน นักท่องเที่ยว และผู้ที่ทำการประเมินประเทศไทย”น.ส.ไตรศุลี กล่าว
สำหรับข้อมูลประมาณการเศรษฐกิจโดย IMF ดังกล่าว ได้มีการเปิดเผยระหว่างที่นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการ IMF เยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมเวทีการประชุมผู้นำเอเปค เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่ง IMF เห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกเอเปคส่วนใหญ่กำลังชะลอตัวลง และอย่างน้อย 1 ใน 3 ของโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้จีดีพีทั่วโลกในปี 2566 จะขยายตัวได้ร้อยละ 2.7 ชะลอลงจากร้อยละ 3.2 ในปี 2565
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในบางพื้นที่ยังคงมีความสดใส โดยอาเซียนเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งรายงานของ IMF แสดงให้เห็นว่าไทยและจีนเป็นเพียง 2 ประเทศในเอเชียที่เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2566 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ปีก่อนหน้า ไม่นับรวมฮ่องกงและมาเก๊า
รมว.สุชาติ เผย ผลพวงนโยบายลุงตู่ช่วงโควิด ส่งผล IMF คาดจีดีพีไทยโต - อัตราว่างงานต่ำสุดในโลก
ด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่าถึงกรณีที่ IMF หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้ออกรายงานคาดการณ์ GDP ปี 2023 ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผลปรากฏว่า ประเทศไทย เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต มี GDP เป็นบวก คือ จาก 2.8 เป็น 3.7 โดยในเอเชีย มีเพียงไทยและจีน 3.2 เป็น 4.4 เท่านั้น ที่ IMF คาดการณ์ว่า GDP จะเป็นบวก ไม่นับฮ่องกงและมาเก๊า (ข้อมูลอ้างอิงจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ International Monetary Fund (IMF) ที่ได้วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ฉบับเดือนตุลาคม 2565) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวไหลกลับเข้ามา รวมถึงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รัฐบาลได้ไปเจรจาไว้ โดยเฉพาะ EEC และเสถียรภาพทางการคลังของประเทศด้วย
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่ายินดีอีกอย่างจากรายงานของ IMF ยังระบุว่า ไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการว่างงาน "ต่ำที่สุดในโลก" แม้ในปีที่แล้วช่วงพีคของโควิด เรายังมีคนว่างงานเพียงร้อยละ 1.5 % ซึ่งเป็นรองเพียงคูเวตที่มีประชากรแค่ 4 ล้านคน และรวยกว่าเรามาก ที่ 1.3 % แต่ประเทศอื่นๆ ไม่มีใครแตะเลข 1 ได้เลย ส่วนปีนี้ลดลงมาเหลือ 1.0 % เป็นอันดับ 1 ของโลก และคาดว่าปีหน้าก็จะยังคงต่ำที่สุดของโลกได้อีก ที่ 1.0 % จากรายงานดังกล่าวถือเป็นผลพวงจากการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลภายใต้การนำของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่รักษาการจ้างงานและดูแลภาคแรงงานให้เข้มแข็งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 อาทิ โครงการส่งเสริมและยกระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs เพื่อลดปัญหาการว่างงาน โครงการแฟคทอรี่ แซนบ๊อก บนฐานแนวคิดเศรษฐศาสตร์และสาธารณสุข ตรวจ ควบคุม รักษา ดูแล การเปิดจุดตรวจโควิดแบบประจำจุดและตรวจเชิงรุกในโรงงาน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกจ้างให้ภาคเอกชนยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปได้ สนับสนุนวัคซีนให้แก่ผู้ใช้แรงงาน จัดหาโรงพยาบาล Hospitel ในเครือข่ายประกันสังคม เป็นต้น ผลสัมฤทธิ์จากโครงการดังกล่าวทำให้โรงงานไม่มีการปิดตัวลง ภาคการผลิตส่งออกสูงสุดในรอบ 30 ปี ที่สำคัญทำให้ดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติ อาทิ บริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ได้เข้าไปลงทุนทำธุรกิจใน 22 ประเทศ แต่มีเพียงสาขาในประเทศไทยเท่านั้นที่อยู่รอดในช่วงโควิด จึงตัดสินใจลงทุนในไทยเพิ่มอีก 3,600 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้เชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาลไทยที่ดูแลผู้ประกอบการไทยและต่างชาติอย่างเท่าเทียม ทำให้บริษัทสนใจเข้ามาเปิดตลาดใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
“ผลพวงจากการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา เป็นผลสำคัญที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมาลงทุนและการเจรจาการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวโดยเฉพาะการจ้างงานที่เติบโตอย่างรวดเร็ว” นายสุชาติ กล่าวท้ายสุด