In News
นายกฯเปิดงานวันเด็กที่ทำเนียบรัฐบาล ย้ำเด็กไทย'รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี'
กรุงเทพฯ-นายกฯ เปิดงานวันเด็กแห่งชาติ 2566 ทำเนียบรัฐบาล ย้ำเด็กไทย “รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี” เป็นพลเมืองมีคุณภาพของสังคม ชุมชนและประเทศชาติ กำชับไม่ลืมประวัติศาสตร์ชาติไทย ยืนยันรัฐมุ่งพัฒนาเยาวชนในทุกมิติ เพิ่มขีดความสามารถทัดเทียมนานาชาติ
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (14 มกราคม 2566) เวลา 09.45 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 โดยมีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี คณะผู้บริหารส่วนราชการภายในทำเนียบรัฐบาล เด็ก เยาวชน ผู้ปกครอง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
นายกรัฐมนตรีชมการแสดง Theme : ความเป็นไทย ใจรักชาติ ประกอบด้วย 1) การแสดง ชุด “เอกลักษณ์ไทย ใต้ร่มพระบารมี จักรวงศ์นาฏกรรมรักแผ่นดิน” โดยโรงเรียนประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นการแสดงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ “รายการชิงช้าสวรรค์ 2022” ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 2) การขับร้องเพลง “แผ่นดินของเรา” และ “รักชาติ” โดยนักศึกษาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงานและให้โอวาทแก่เด็กและเยาวชนว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่ได้พบปะกับทุกคนที่เปี่ยมด้วยพลังและความสามารถหลากหลาย และดีใจที่ได้เห็นเด็ก ๆ อนาคตของชาติ นำความรู้ ความสามารถที่มีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และเป็นต้นแบบที่ดีของเยาวชน ในโอกาสการจัดงาน “วันเด็กแห่งชาติ” ประจำปี 2566 ณ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งได้งดการจัดกิจกรรมภายในมาสองปี เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งในวันนี้มีกิจกรรมการแสดงต่าง ๆ ต้องขอขอบคุณมหาวิทยาลัยมหิดลและโรงเรียนประโคนชัย ที่เป็นตัวแทนเยาวชนถ่ายทอดความรักชาติและเอกลักษณ์ความเป็นไทย ผ่านบทเพลงและการแสดงได้อย่างน่าประทับใจ
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงคำขวัญวันเด็ก ประจำปี 2566 ที่ว่า “รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี” ซึ่งการรู้หน้าที่ คือ หน้าที่ที่มีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดังบทเพลงรักชาติที่ว่า “ความรักอันใดแม้รักเท่าไหน ก็ไม่ยั่งยืนเท่าความรักชาติ รักแผ่นดินของเรา” เด็กและเยาวชนต้องมีหน้าที่ต่อตนเอง คือ มีความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา ผู้มีพระคุณ หน้าที่ในการเป็นศิษย์ที่ดีของครู หมั่นแสวงหาความรู้ พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อเป็นพลเมืองไทยที่มีคุณภาพในการทำหน้าที่ต่อสังคม ชุมชน และประเทศชาติ นอกจากนี้ เยาวชนต้องมีวินัยต่อตนเองและต่อสังคม เพราะการมีวินัยจะช่วยให้ชีวิตประสบความสำเร็จ และช่วยให้ทุกคนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยการเริ่มที่ตัวเอง ถ้าคนในสังคมมีวินัย เคารพกติกา กฎระเบียบ และกฎหมาย บ้านเมืองจะไม่วุ่นวาย ขอให้ทุกคนตระหนักถึงสิทธิและปฏิบัติตามหน้าที่ของพลเมืองที่ดีในสังคม มีเสรีภาพในการปฏิบัติแต่ไม่ทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นเดือดร้อน เพื่อความเรียบร้อยและมีเสถียรภาพของบ้านเมือง รวมทั้งมีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ เทิดทูนและมีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ
ส่วนการใฝ่ความดี คือการฝึกตนเองให้คิดดี คิดบวก คิดเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งการปฏิบัติตนภายใต้คุณธรรมความดีงามจะเป็นเกราะป้องกันภัยให้ทุกคนมีกรอบในการประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีงาม และเป็นภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งของเยาวชนให้เติบโตเป็นทรัพยากรบุคคลอันมีค่าของแผ่นดินต่อไป และเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีคุณภาพ ทั้งนี้ขอให้เด็ก ๆ เยาวชนทุกคน ตั้งมั่นในความดี มีสติปัญญาที่เข้มแข็ง เป็นผู้โอบอ้อมอารีและเมตตาเอื้อเฟื้อ เพื่อสังคมไทยในวันข้างหน้าจะเป็นสังคมที่น่าอยู่ มีแต่รอยยิ้ม และมีความสุข
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการสร้างขีดความสามารถให้เยาวชนไทย ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชนในทุกมิติ และพัฒนาคนทุกช่วงวัย เพื่อให้มีความพร้อมในทุกด้านทั้งร่างกาย สติปัญญา ความดีงาม และคุณธรรม ตลอดจนมีศักยภาพในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างโอกาสให้เยาวชนไทยมีพลังอำนาจและขีดความสามารถทัดเทียมนานาชาติได้ โดยได้ส่งเสริมในเรื่องความเป็นไทย ใจรักชาติ และพลังอำนาจของเด็กไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นย้ำเรื่องความเป็นไทย ใจรักชาติ ที่ถือเป็นพลังอำนาจอันทรงคุณค่าที่สุดของเด็กไทย โดยประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีเอกลักษณ์วัฒนธรรมที่โดดเด่นเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ และเป็นมรดกล้ำค่าที่สืบสานมาจากอดีต หากเด็กและเยาวชนไทยตระหนักถึงคุณค่าของความเป็นไทย จะเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่สามารถนำไปสร้างสรรค์ ขับเคลื่อนทั้งภาคเศรษฐกิจและสังคม เกิดเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ส่งผลให้ประเทศไทยพัฒนาก้าวไกลอย่างมีเอกลักษณ์โดดเด่นในเวทีโลก เพราะประเทศไทยมีสิ่งดี ๆ มากมายที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดไว้ อีกทั้งยังมี Soft Power ซึ่งเป็นพลังอำนาจไม่มีชาติใดทัดเทียมได้ ทั้งด้านอาหาร ภาพยนตร์ เทศกาลรื่นเริง แฟชั่น และศิลปะการต่อสู้ หรือที่เรียกว่า 5F ได้แก่ Food Film Festival Fashion Fighting ขอให้ทุกคนตระหนักในคุณค่าควบคู่กับการสร้างเสริมพลังอำนาจในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีวิทยาการสมัยใหม่ ตลอดจนใส่ใจสิ่งแวดล้อม
นายกรัฐมนตรีแสดงความมั่นใจว่าแรงขับเคลื่อนของพลังและความสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ จะทรงพลังมากยิ่งขึ้น หากไม่ลืมแรงผลักดันที่เกิดจากประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ และภูมิปัญญา ซึ่งเป็นมรดกล้ำค่าที่สืบสานมาจากอดีต มีความโดดเด่นและเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ บวกกับความเป็นไทย ใจรักชาติ ถือเป็นพลังอำนาจที่ทรงคุณค่าที่สุดของเด็กไทย ขอเพียงทุกคนเข้าใจถึงรากเหง้า ความเป็นมา และตระหนักถึงคุณค่าของภูมิปัญญาและสมบัติของชาติ ก็จะสามารถนำไปสร้างสรรค์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดเป็นเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นกลไกที่จะช่วยพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าและเป็นที่ประจักษ์ในเวทีโลก
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความรอบรู้และความเท่าทันนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมทั้งความตระหนักและใส่ใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ในฐานะพลเมืองโลกที่ดี ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดผลกระทบจากสภาวะของโลกร้อนที่จะส่งผลกระทบต่อลูกหลานโดยตรงในภายภาคหน้า เพื่อส่งต่อโลกที่สะอาดให้แก่คนรุ่นหลังต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมุ่งส่งเสริมขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือที่เรียกว่า BCG Model ที่มีรากฐานจากปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราชปณิธาน สืบสาน รักษา และต่อยอด เพื่อประโยชน์ของปวงประชาราษฎร์ สอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งเด็กและเยาวชนทุกคนมีบทบาทสำคัญในการช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืนในระยะยาว
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีขอให้เด็ก ๆ ทุกคนดูแลสุขภาพร่างกาย หมั่นออกกำลังกายเพื่อให้มีสุขภาพกายที่แข็งแรง ควบคู่กับการดูแลสุขภาพจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ พร้อมขอให้มีความสุขกับการเข้าร่วมกิจกรรมวันเด็กและขอให้สิ่งที่ได้เห็น ได้เรียนรู้ เป็นพลังให้ทุกคนมีความตั้งใจและมีแรงบันดาลใจในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองในวันข้างหน้า รวมทั้งขอให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคนประสบความสำเร็จตามความปรารถนา มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาที่เข้มแข็ง เติบใหญ่เป็นพลเมืองดีที่ “รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี”
ภายหลังพิธีเปิดงานฯ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมของหน่วยงานต่าง ๆ ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ได้แก่ Theme : Thainess & Soft Power ประกอบด้วย กิจกรรมส่งเสริมมารยาทไทย ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ผลงานวิจัยวัฒนธรรมอาหาร 7 ลุ่มน้ำ และการสาธิตทำอาหารของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กิจกรรม Soft Power เช่น การแต่งกายแบบไทย กีฬามวยไทย อาหาร และภาพยนตร์ โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กิจกรรมให้ความรู้ของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (OKMD) กิจกรรมเล่นบอร์ดเกม Match My Meal เรื่องคุณค่าทางโภชนาการและอาหารพื้นถิ่นที่เหมาะกับเด็ก ๆ ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) การแกะสลักผลไม้และการทำขนมไทยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (วิทยาเขตโชติเวช) การทำขนมไทยประยุกต์ โดยโรงเรียนสอนการประกอบอาหาร เลอ กอร์ดองเบลอ
กิจกรรม Theme : พลังอำนาจด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ประกอบด้วย การแข่งขันหุ่นยนต์ ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม การแข่งขันกีฬา E-sport ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) นิทรรศการประวัติศาสตร์ชาติไทยของกระทรวงศึกษาธิการ ต่อด้วย กิจกรรม “ตามรอย APEC” ของกระทรวงการต่างประเทศ ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี