In News
โชว์ผลงานรถไฟสายสีเหลืองใกล้เสร็จ คาดเปิดให้บริการได้มิ.ย.66
กรุงเทพฯ-"ทิพานัน" โชว์ผลงาน 'พล.อ.ประยุทธ์' เดินหน้ารถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรงคืบเกือบ100%แล้ว คาดเปิดให้บริการได้มิ.ย.66 แก้ปัญหาการจราจรติดขัด รองรับการขยายตัวเมือง กระจายพัฒนาเศรษฐกิจ
วันที่ 15 มกราคม 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบคมนาคมขนส่งทางราง” ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งพัฒนาระบบคมนาคมทางรางอย่างต่อเนื่อง ทั้งรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รถไฟทางคู่ทั่วประเทศ รวมถึงโครงข่ายรถไฟความเร็วสูง โดยพล.อ.ประยุทธ์ได้อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง งบประมาณกว่า 48,125 ล้านบาท ปีลงทุน 2560-2566 ผ่านมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 ซึ่งปัจจุบันโครงการดังกล่าว มีความก้าวหน้าโดยรวม ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 กว่า 98.09 % มีกำหนดเปิดให้บริการได้ในเดือนมิถุนายน 2566
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองยัง เป็น ระบบรถไฟรางเดี่ยว หรือโมโนเรล โครงสร้างยกระดับทั้งสาย เพื่อลดผลกระทบในการก่อสร้าง โดยวางผังพื้นอาคารบริเวณเกาะกลางถนน อาคารสถานี มีระดับทางวิ่งสูง 15 เมตร ชานชาลากว้าง 20-25 เมตร ยาว 110 เมตร จึงใช้พื้นที่น้อย มีการเวนคืนน้อยที่สุด ทำให้ใช้งบประมาณน้อยกว่ารถไฟรางคู่
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการดังกล่าวหากแล้วเสร็จจะช่วยระบายความหนาแน่นของการจราจรในพื้นที่ บริเวณ ลาดพร้าว รามคำแหง , ศรีนครินทร์ จนถึงพัฒนาการ ที่ล้วนเป็นจุดที่ประสบปัญหารถติดค่อนข้างมาก โดยรถไฟฟ้าสายสีเหลืองระยะทางทั้งสิ้น 30.4 กิโลเมตรรวม 23 สถานี เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างสายสีน้ำเงินที่สถานีรัชดา (สถานีลาดพร้าวของสายสีน้ำเงิน) กับระบบขนส่งมวลชน 4 สาย คือ สายสีเทาของกรุงเทพฯ สายสีส้มบริเวณทางแยกลำสาลี รถไฟเชื่อมต่อท่าอากาศยาน (Airport Rail Link) บริเวณทางแยกต่างระดับพระราม 9 และสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ที่สถานีสำโรง
“ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ได้เร่งรัดและติดตามความก้าวหน้าของโครงการมาโดยตลอด เพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชนจากกรุงเทพฯ สู่ปริมณฑล ช่วยลดความคับคั่งของการจราจร ประหยัดเวลาสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย ลดมลพิษ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน อีกทั้งยังกระจายการพัฒนาเศรษฐกิจ ส่งเสริมการขยายตัวของเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจตลอดแนวเส้นทาง”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ