In News
ครม.อนุมัติแล้ว!เงินก่อสร้างเพิ่มเติมM6 เร่งเดินหน้า12ตอนวงเงินเกือบ5พันล้าน
กรุงเทพฯ-คณะรัฐมนตรี อนุมัติวงเงินค่าก่อสร้างเพิ่มเติมในส่วนงานโยธาโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา
ตามที่ กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ได้เริ่มดำเนินงานก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - นครราชสีมา ในส่วนของงานโยธามาตั้งแต่ปี 2559 โดยแบ่งงานออกเป็น 40 ตอน ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 24 ตอน ส่วนอีก 16 ตอน ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากติดปัญหาอุปสรรคใน 4 ประเด็น ได้แก่ 1) สภาพพื้นที่ในสนามที่ทำการก่อสร้างได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 2) ปรับปรุงรูปแบบทางวิศวกรรมให้สอดคล้องกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ในปัจจุบัน 3) ปรับรูปแบบให้เหมาะสมสอดคล้องกับโครงสร้างสาธารณูปโภค หรือความจำเป็นของหน่วยงานที่โครงการตัดผ่าน และ 4) ปรับรูปแบบการก่อสร้างเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อข้อร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ และให้สอดคล้องกับโครงข่ายถนน ที่ประชาชนใช้ทางในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องแก้ไขแบบก่อสร้าง ส่งผลให้ค่างานก่อสร้างเพิ่มขึ้น ซึ่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ติดตามและเร่งรัดให้ ทล. แก้ไขปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด
วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2566) คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเห็นชอบเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพิ่มเติม โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ในส่วนของงานโยธาที่ยังไม่ได้ดำเนินการ จำนวน 12 ตอน วงเงินรวม 4,970.7107 ล้านบาท ประกอบด้วย
- ตอน 1 กม. ที่ 0+000.000 - 7+332.494 วงเงิน 631.2045 ล้านบาท
- ตอน 2 กม. ที่ 0+000.000 - 5+470.673 วงเงิน 70.3000 ล้านบาท
- ตอน 4 กม. ที่ 9+008.350 - 15+000.000 วงเงิน 971.8108 ล้านบาท
- ตอน 5 กม. ที่ 15+000.000 - 27+500.000 วงเงิน 69.1874 ล้านบาท
- ตอน 18 กม. ที่ 72+328.075 - 74+300.000 วงเงิน 271.4985 ล้านบาท
- ตอน 19 กม. ที่ 74+300.000 - 77+000.000 วงเงิน 596.7523 ล้านบาท
- ตอน 20 กม. ที่ 77+000.000 - 82+500.000 วงเงิน 161.7828 ล้านบาท
- ตอน 21 กม. ที่ 82+500.000 - 86+000.000 วงเงิน 1,310.1243 ล้านบาท
- ตอน 23 กม. ที่ 102+000.000 - 110+900.000 วงเงิน 406.2323 ล้านบาท
- ตอน 24 กม. ที่ 110+900.000 - 119+000.000 วงเงิน 26.4170 ล้านบาท
- ตอน 34 กม. ที่ 140+040.000 - 141+810.000 วงเงิน 291.6938 ล้านบาท
- ตอน 39 กม. ที่ 175+100.000 - 188+800.000 วงเงิน 163.7071 ล้านบาท
ทำให้วงเงินค่าก่อสร้าง รวม 40 ตอน เพิ่มขึ้นจากเดิม รวมเป็นจำนวนเงิน 66,165 ล้านบาท ซึ่งยังต่ำกว่ากรอบวงเงิน 69,970 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2559 สำหรับงานก่อสร้างที่ได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน วงเงินประมาณ 1,785 ล้านบาท นั้น ทล. มีความจำเป็นต้องตรวจสอบรายละเอียด ทั้งในส่วนของเนื้องานและความรับผิดชอบของบริษัทผู้รับจ้างคู่สัญญาให้มีความละเอียดรอบคอบ จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการ โดยมีรองอธิบดีฝ่ายดำเนินงาน เป็นประธาน และตัวแทนหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้องทั้งด้านวิศวกรรม ระเบียบ กฎหมาย อาทิ สภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สำนักงานอัยการสูงสุด กรมบัญชีกลาง สำนักกฎหมาย กระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นคณะกรรมการ เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบ ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และตามหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ทล. จะเร่งรัดเดินหน้าการก่อสร้างงานโยธาในส่วนที่เหลือให้สามารถเปิดทดลองให้บริการได้โดยเร็วที่สุด คาดว่าจะสามารถเปิดทดลองวิ่งช่วงปากช่องถึงทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร ได้ในช่วงปลายปี 2566 รวมถึงการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้เอกชนคู่สัญญาร่วมลงทุนการดำเนินงาน และบำรุงรักษา (O&M) เพื่อเร่งรัดงานติดตั้งระบบต่าง ๆ เช่น ระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง M-Flow ระบบบริหารควบคุมการจราจร คาดว่าจะเริ่มทดสอบระบบพร้อมทยอยเปิดทดลองให้บริการได้ในปี 2567 และเปิดใช้บริการเส้นทางอย่างเต็มรูปแบบในปี 2568 ต่อไป
ด้านน.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7 ก.พ. 66 ได้อนุมัติการเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 12 ตอน วงเงิน 4,970.71 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ประกอบด้วย
ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันฯ จากปีงบประาณ 59-63 เป็น 59-66 จำนวน 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่5,20 และ 24 ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันฯ จากปีงบประมาณ 59-63 เป็นปีงบประมาณ 59-67 จำนวน 5 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 2,18,19,34 และ39 และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันฯ จากปีงบประมาณ 59-63 เป็นปีงบประมาณ 59-68 จำนวน 4 ตอน ได้แก่ ตอนที่1,4,21 และ23
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า วงเงินค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นครั้งนี้จะทำให้กรอบวงเงินค่าก่อสร้างทั้งโครงการรวมการก่อสร้าง 40 ตอน เพิ่มจากเดิม 59,410.24 ล้านบาท เป็น 64,380.95 ล้านบาท และวงเงินลงทุนรวมทั้งโครงการ(รวมค่าจัดการกรรมสิทธิ์ 6,630ล้านบาทซึ่งเบิกจ่ายเสร็จสิ้นแล้ว) เพิ่มจาก 66,040.24 ล้านบาท เป็น 72,795.90 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในกรอบที่ ครม. อนุมัติงบประมาณสำหรับทั้งโครงการครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 59 ที่ 76,600 ล้านบาท โดยค่าก่อสร้างรวมยังต่ำกว่าวงเงินค่าก่อสร้างที่ ครม. อนุมัติ ร้อยละ 7.99 ขณะเงินลงทุนทั้งโครงการต่ำกว่ากรอบวงเงินที่ ครม. อนุมัติร้อยละ 7.30 แต่ที่ต้องเสนอให้ ครม. อนุมัติครั้งนี้เนื่องมาจากค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นและระยะเวลาดำเนินการได้เกินกว่ารายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ครม. เคยอนุมัติสำหรับการก่อสร้างแต่ละตอน
สำหรับความจำเป็นที่ต้องขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างดังกล่าว กระทรวงคมนาคมรายงานว่าเนื่องจากมีงานก่อสร้างที่พบอุปสรรคจำเป็นต้องปรับปรุงแบบก่อสร้างให้เหมาะสม ใน 4 กรณี ได้แก่ 1.สภาพพื้นที่ในสถานที่ทำการก่อสร้างเปลี่ยนแปลงจากเดิม 2.ต้องปรับปรุงรูปแบบทางวิศวกรรมให้สอดคล้องกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ในปัจจุบัน 3.ปรับปรุงให้เหมาะสอดคล้องกับโครงสร้างสาธารณูปโภคหรือความจำเป็นของหน่วยงานที่โครงการตัดผ่าน และ 4.ปรับปรุงรูปแบบการก่อสร้างเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อข้อร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่และให้สอดคล้องกับโครงข่ายถนนที่ประชาชนใช้ทางในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ณ เดือน พ.ย. 65 โครงการฯ มีความคืบหน้างานก่อสร้างคืบหน้าร้อยละ 87.67 จากแผนที่ ณ เวลาดังกล่าวต้องมีความคืบหน้าร้อยละ 89.67 หรือล่าช้าไปจากแผนร้อยละ 2 ซึ่ง ครม. ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงเร่งรัดดำเนินการแก้ไขไขสัญญาเพิ่มเติมตามที่ได้อนุมัติในครั้งนี้ และกำกับการก่อสร้างงานโยธาในส่วนที่หลือให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด