In News
เชื่อสินค้าเกษตรไทยสู่ท็อปเทนของโลก 'อลงกรณ์'จี้ถกเอฟทีเอ'ยุโรป-อังกฤษ'
กรุงเทพฯ-“อลงกรณ์” เชื่อมั่นไทยพร้อมก้าวขึ้นสู่ประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตร-อาหารท็อปเทนของโลก เร่งเจรจาเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ.)กับยุโรปและอังกฤษปูทางสร้างโอกาสให้ผู้ส่งออกไทยขยายตลาดทั่วโลก พร้อมแนะผู้ผลิตผู้ส่งออกไทยปรับตัวรับมือกฎหมายและกฎระเบียบใหม่ของอียู.
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวปาฐกถาเปิดงานเสวนาบนเวทีของงานแถลงข่าวประจำปี NRF 2023 Annual Press conference 'Big Move' ภายใต้ประเด็นเสวนา“ปัญหาและโอกาสสู่ทางออกของการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไทยในตลาดยุโรปและอังกฤษ” โดยมี คุณแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF คุณอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล. ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ Exim Bank และคุณณัฐศักดิ์ มนัสรังษี K Fresh เข้าร่วม ณ ลิโด้ คอนเนคท์ (ห้องลิโด้ 1) สยามสแควร์ซอย 3 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 โดยการจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้วิทยากรผู้เชี่ยวชาญภาครัฐได้แสดงความคิดเห็น และแชร์ประสบการณ์ให้แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อยในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทย เพื่อร่วมต่อยอดความคิดและร่วมหาทางแก้ปัญหา อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการผลักดัน สินค้าเกษตรและอาหารไทยไปสู่ตลาดยุโรปและอังกฤษโดยเฉพาะบริษัทชั้นแนวหน้าชองไทยเช่นเอ็นอาร์เอฟ(NRF)ที่มีเป้าหมายขยายเครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ตสินค้าอาหารไทยและเอเซียในอังกฤษและยุโรปซึ่งมีมูลค่าตลาดนี้ 10 พันล้านดอลลาร์หรือกว่า3แสนล้านบาท
นายอลงกรณ์ กล่าวปาฐกถาว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และผู้ประกอบการเอกชนในการส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยไปสหภาพยุโรปและอังกฤษซึ่งเป็นตลาดคู่ค้าอันดับ 4 ของไทยจึงให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรฯ. ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เร่งเปิดทางสร้างโอกาสให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการส่งออกสินค้าไปอียูและอังกฤษโดยกระทรวงเกษตรฯได้ลงนามเอ็มโอยูกับกระทรวงสิ่งแวดล้อมอาหารและกิจการชนบทของอังกฤษเพื่อขยายความร่วมมือทางการเกษตรทุกมิติรวมทั้งการขจัดอุปสรรคทางการค้าสินค้าเกษตรและอาหารเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์เร่งเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี(FTA)3กรอบสำคัญคือ เอฟทีเอ.ไทย-อียู. เอฟทีเอ.ไทย-อังกฤษและเอฟทีเอ.ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA)ซึ่งมีสมาชิก 5 ประเทศ คือ รัสเซีย, คาซัคสถาน, เบลารุส, อาร์เมเนีย และคีร์กีซสถาน เป็นก้าวใหม่ก้าวใหญ่ของภาครัฐผสมผสานกับบิ๊กมูฟของภาคเอกชนในวันนี้ จึงมั่นใจว่าประเทศไทยจะบรรลุความสำเร็จที่ตั้งเป้าหมายเป็นมหาอำนาจทางอาหารท็อปเทนของโลกภายในปี2030เป็นอาหารปลอดภัย(Food Safety)ที่มีการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของสำนักงาน”มกอช.”ตั้งแต่ฟาร์มถึงโต๊ะอาหาร(Farm 2 Tables)ภายใต้การพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมลดปัญหาภาวะโลกร้อนสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศรวมทั้งสหภาพยุโรปและอังกฤษตลอดจนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ทางเรือ ทางอากาศและทางบกโดยเฉพาะการขนส่งทางรางบนเส้นทางรถไฟสายไทย-จีน-ลาว-ยุโรป
สำหรับโอกาสในการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย ทั้งในเรื่องการรักษาและขยายส่วนแบ่งการตลาดในสินค้าหลักที่มีฐานการตลาดอยู่เดิม ได้แก่ 1) สินค้าปศุสัตว์ - ไก่แปรรูปและไก่หมักเกลือ (สหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์) โดยในปี 2565 ประเทศไทยส่งออกไก่แปรรูปไปยังสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร มูลค่า 38,000 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวจากปี 2564 ถึงร้อยละ 69 2) สินค้าพืชผักผลไม้สดผลไม้แปรรูป และข้าว (สหราชอาณาจักร อิตาลี เนเธอร์แลนด์) สับปะรดกระป๋อง และน้ำสับปะรดกระป๋อง และผลไม้กระป๋อง (เนเธอร์แลนด์และเยอรมนี) 3) สินค้าประมงและสัตว์น้ำ (แช่แข็งและแปรรูป) - ปลาหมึกแช่แข็ง (อิตาลี) ปลาทูน่ากระป๋อง (เนเธอร์แลนด์) และ 4) ยางพาราและผลิตภัณฑ์ (เยอรมนี เนเธอร์แลนก์ สเปน เบลเยียม อิตาลี)และ5)สินค้าที่มีศักยภาพในอนาคต(Future Food) ได้แก่
1.สินค้าโปรตีนทางเลือกจากพืช(plant based protein )
2.สินค้าโปรตีนทางเลือกจากแมลง(edible insect based protein)
3.สินค้านวัตกรรมที่ตอบสนองโภชนาการของผู้บริโภค
นายอลงกรณ์ยังเสนอแนะด้วยว่า ผู้ประกอบการของไทยต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับโอกาสและปัญหาและอุปสรรคในเรื่องของกฎระเบียบต่าง ๆ ได้แก่ 1) กฎระเบียบด้านมาตรฐานและความปลอดภัยอาหาร ซึ่งปัจจุบันไม่เพียงแต่ครอบคลุมเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยอาหารที่ประเทศผู้ส่งออกต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐานของสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมประเด็นสวัสดิภาพสัตว์ สิทธิมนุษยชน และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม 2) กฎระเบียบมาตรการของสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร เพื่อบังคับใช้กับผู้ประกอบการภายในประเทศ แต่ส่งผลกระทบมายังผู้ผลิตรวมถึงประเทศไทย อาทิ กฎหมาย Deforestation free products ที่สหภาพยุโรปได้เห็นชอบต่อการออกกฎหมาย ครอบคลุมสินค้า 7 ชนิด คือ ยางพารา น้ำมันปาล์ม เนื้อวัว ไม้ กาแฟ โกโก้ และถั่วเหลือง รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ผลิตจากสินค้าเหล่านี้ เช่น ช็อคโกแลต เฟอร์นิเจอร์ กระดาษ และสินค้าที่มีน้ำมันปาล์มเป็นส่วนประกอบบางชนิด
โดยสหภาพยุโรปได้ตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่เกินไตรมาสแรกของปี 2566 กฎหมาย Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ขอบเขตการบังคับใช้ CBAM จากเดิม 5 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย และไฟฟ้า ให้เพิ่มเป็น 7 กลุ่มสินค้า โดยรวมไฮโดรเจนและสินค้าปลายน้ำบางรายการ อาทิ น็อตและสกรูที่ทำจากเหล็กและเหล็กกล้า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (indirect emissions) อาทิ ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้า ที่ใช้ในการผลิตสินค้า และจะเริ่มบังคับใช้มาตรการ CBAM ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 และกฎหมาย Corporate Due diligence เป็นกฎหมายเพื่อกำกับดูแลและความรับผิดชอบในการประกอบธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 3) แนวคิดการบริโภคสินค้าที่ผลิตในสหภาพยุโรป (Localization) เพื่อลดการขนส่งอันเป็นสาเหตุของการก่อมลพิษและคาร์บอนฟุตปริ้น อาจมีผลกับการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารจากประเทศที่สามในอนาคต.