Biz news

เปิดตัว'วิสาหกิจชุมชนพิลาฟาร์มสตูดิโอ' กิจการชุมชนพันธุ์ใหม่ที่เพชรบูรณ์



กรุงเทพฯ-จากแฟชั่นดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ห้องเสื้อในวันที่ถูกพิษโควิดเล่นงาน ทำให้ “นิพนธ์ พิลา” ตัดสินใจกลับมาทำฟาร์มเกษตรที่บ้านเกิด ใน อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ โดยดึงแรงบันดาลใจจากการออกแบบแฟชั่นมาผสานข้ามสายพันธุ์กับธุรกิจเกษตรชุมชนรีแบรนด์ดิ้งกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ ที่เรียกว่า“Fashion Farming”สุดล้ำ

แฟชั่นฟาร์มมิ่งในนิยามของนิพนธ์มีหลายมิติ ตั้งแต่การออกแบบแลนด์สเคปฟาร์ม การออกแบบการเล่าเรื่อง การออกแบบแบรนด์สินค้าชุมชนที่เน้นสินค้าเกษตรอินทรีย์ และสินค้าเกษตรปลอดภัย (GMP) ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่มาตรฐานเพื่อการส่งออก รวมไปถึงมิติการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เน้นความเรียบง่าย ซึ่งเป็นหัวใจของการออกแบบ มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร เพิ่มรายได้ให้คนในชุมชน

ภายใต้รูปแบบขององค์กรที่ถูกออกแบบให้เป็น“วิสาหกิจชุมชน” ซึ่งเขาเห็นว่า เหมาะสมที่สุดในการสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนในพื้นที่กลายเป็นที่มาของการจัดตั้ง “วิสาหกิจชุมชนพิลาฟาร์มสตูดิโอ จ.เพชรบูรณ์”ขึ้นเมื่อปี 2564มี “นิพนธ์” นั่งเป็นประธานวิสาหกิจชุมชน

ปัจจุบันวิสาหกิจแห่งนี้มีสมาชิก 50 คน (20 ครัวเรือน) สร้างรายได้ปีละประมาณ 4 ล้านบาท จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตร เช่น ข้าว กระเทียม หอมแดงผักใบ ผักหัว ผักแต่งกลิ่น และผลผลิตการเกษตรแปรรูป อาทิ มะขาม ในอนาคตยังมีแผนบูรณาการพื้นที่ ไปสู่การจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตรขณะที่ด้านการตลาดจะสร้างกระแสการรับรู้ผ่านงานมหกรรมดนตรีในฟาร์ม การจัดตลาดนัดจำหน่ายสินค้าชุมชน เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนให้เพิ่มขึ้น

การดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนพิลาฟาร์มสตูดิโอ จ.เพชรบูรณ์ จึงได้รับรางวัล “วิสาหกิจชุมชนต้นแบบสัมมาชีพ” ประเภทการเกษตร ที่มอบโดยมูลนิธิสัมมาชีพ  รางวัลดังกล่าวมอบให้กับวิสาหกิจชุมชนที่มีการบริหารจัดการกิจการที่ดี มีศักยภาพ และสร้างประโยชน์แก่สมาชิก ชุมชน สังคม และถือเป็น “ต้นแบบความสำเร็จ” ที่จะขยายไปสู่วิสาหกิจชุมชนอื่นๆ ให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม ในระดับฐานราก

“รู้สึกดีใจ และเซอร์ไพรส์ที่ได้รับรางวัลนี้ เพราะเราเป็นวิสาหกิจชุมชนที่เพิ่งก่อตั้งได้ 2 ปี  ด้วยคอนเซปต์ที่ค่อนข้างจะต่างออกไปจากวิสาหกิจชุมชนอื่น ขอนำรางวัลอันทรงเกียรติที่ได้รับนี้มอบให้กับชาวบ้าน ให้กับเกษตรกรผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับพวกเรา และให้กับชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ทุกท่าน”ประธานวิสาหกิจชุมชนพิลาฟาร์มสตูดิโอ กล่าว

เขายังเล่าย้อนว่า หลังตัดสินใจจะกลับมาทำฟาร์มเกษตรที่บ้านเกิด สิ่งที่พบคือ“ภาคการเกษตร” เป็นอีกภาคที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดอาจจะมากกว่าอีกหลายธุรกิจเพราะปัญหาการขนส่งสินค้าเกษตรในช่วงล็อคดาวน์ ทำให้สินค้าเกษตรล้นตลาด ในช่วงนั้น วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้ จึงเริ่มต้นจากการนำสินค้าเกษตรจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เป็นฟาร์มออนไลน์ 100% ภายใต้คอนเซ็ปต์ “กินดีอยู่ดี”

ก่อนจะขยับการเป็นคู่สัญญาขายสินค้าเกษตรผ่านหน้าร้านการค้า อาทิ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ควบคู่ไปกับช่องทางออนไลน์ในปัจจุบัน

อีกทั้งไม่ได้จำหน่ายเฉพาะสินค้าเกษตรในฟาร์มของตนเอง แต่มองไกลไปถึงการนำสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพของจ.เพชรบูรณ์ มาจำหน่าย

“ยิ่งทำ ยิ่งทำให้มองเห็นว่า สินค้าเกษตรที่มีคุณภาพจากจ.เพชรบูรณ์ มีมากมาย ดังนั้น แทนที่จะโปรโมทแบรนด์สินค้าพิลาฟาร์มอย่างเดียว เราก็เล่าเรื่องให้ใหญ่ขึ้นด้วยการนำเสนอสินค้าเกษตรจากเพชรบูรณ์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีช่วยชุมชนในพื้นที่ให้มีอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้แรงงานคืนถิ่น โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ เด็กจบใหม่ ที่ได้แรงบันดาลใจจากโมเดลธุรกิจนี้”

นิพนธ์ ยังให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนแห่งนี้  มีส่วนผสมของคนทำงานใน 3 เจเนอเรชั่น ทั้งคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ คนรุ่นตนเอง และคนรุ่นใหม่ มาร่วมกันระดมความคิด ความเห็น และร่วมกันทำงาน โดยสมาชิกที่เป็นเกษตรกรจะนำสินค้าเกษตรมาจำหน่ายผ่านช่องทางวิสาหกิจชุมชนฯ ส่วนสมาชิกที่ไม่ได้เป็นเกษตรกร ก็จะมาเป็นพนักงานซึ่งได้รับค่าตอบแทนการทำงาน

“วิสาหกิจชุมชนของเรา เติบโตก้าวกระโดด ปีแรกโต 100%  ปีที่สอง เติบโต 250% ปีที่ 3 คาดว่าหลังเปิดตัว สเตย์พิลาฟาร์ม ซึ่งเป็นที่พักออกแบบในสไตล์โลว์คาร์บอนรองรับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรคาดว่าจะเติบโตก้าวกระโดดเป็น 500% หมายถึงฐานสมาชิกของวิสาหกิจชุมชนฯก็จะเพิ่มขึ้น จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว พร้อมไปกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น”

นอกจากนั้น วิสาหกิจชุมชนฟิลาฟาร์มสตูโอ ยังเป็นศูนย์เรียนรู้ ที่มีผู้คนจากหลายจังหวัด รวมถึงสถาบันการศึกษามาศึกษาดูงาน เพื่อขยายมุมมองความคิด ต่อยอดความรู้ สู่การทำฟาร์มเกษตรตามอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ “นิพนธ์” เล่า

และนี่คือ อีกหนึ่งต้นแบบวิสาหกิจชุมชนฯ ที่ใช้แนวคิดการออกแบบที่มีชุมชนเป็นศูนย์กลาง มาพัฒนาพื้นที่ฟาร์มเกษตร และนำจุดแข็งด้านการเกษตรของประเทศ มาพัฒนาจากเกษตรดั้งเดิม สู่ “เกษตรสมัยใหม่-เกษตรสร้างสรรค์” ซึ่งจะสร้างความยั่งยืนให้กับอาชีพนี้ต่อไป