Biz news

สถาบันการเงินชุมชนบ้านดอนอีกต้นแบบ ชุมชนการออมต้นแบบสัมมาชีพ



กรุงเทพฯ-สถาบันการเงินชุมชนบ้านดอน จ.เชียงใหม่ ถือเป็นชุมชนที่มีโมเดลบริหารจัดการการเงินที่ดี สร้างการออม สร้างเงินทุนประกอบอาชีพ และจัดสวัสดิการที่ดีแก่สมาชิกจึงเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับรางวัลต้นแบบสัมมาชีพ ประเภท การเงินและสวัสดิการชุมชน  ปี 2566 ที่มอบโดยมูลนิธิสัมมาชีพ

สถาบันการเงินชุมชนแห่งนี้ยังโดดเด่นด้าน “ระบบการบริหารจัดการ”โดยสร้าง “การมีส่วนร่วม” และแบ่งบทบาทการทำงานฝ่ายต่างๆ อย่างชัดเจน นำระบบโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้ไม่ว่าจะเป็นระบบข้อมูลสมาชิก ระบบบัญชี การเงิน ทำให้การบริหารมีความโปร่งใส  ตรวจสอบข้อมูลทางการเงินได้วันต่อวัน สร้างความน่าเชื่อถือให้กับสมาชิก

ในส่วนของเงินทุนที่มี ก็นำมาสร้างรายได้อื่นๆ ต่อ เช่น ร้านค้าชุมชน การท่องเที่ยวชุมชน ถือเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพ

นอกจากนี้ยังนำเงินส่วนหนึ่งแบ่งปันให้กับสาธารณะประโยชน์ รวมถึงผู้ด้อยโอกาส

“ผู้บริหาร กรรมการ รวมถึงสมาชิก รู้สึกยินดีที่ได้รับรางวัลนี้ เราไม่คาดหวังมาก่อนว่าจะได้รับเกียรตินี้

สำหรับเงินรางวัลที่ได้ ทางกลุ่มจะนำไปพัฒนาการดำเนินงานเพื่อสร้างความเข้มแข็ง เช่น นำไปต่อยอดหารายได้จากการท่องเที่ยวชุมชน สร้างผลิตภัณฑ์ชุมชน รวมถึงให้สวัสดิการสมาชิกเพิ่มเติม” เสาวลี โสวณา พนักงานบัญชีและกรรมการฝ่ายเงินกู้ของสถาบันการเงินชุมชนบ้านดอน กล่าว

ผู้แทนของสถาบันการเงินชุมชนบ้านดอนยังเล่าถึงพัฒนาการของสถาบันการเงินชุมชนบ้านดอนว่า เดิมทีในปี 2541 ทางกลุ่มได้จัดตั้งเป็นกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต เพื่อส่งเสริมการออม สร้างวินัยทางการเงิน และสร้างเงินทุนประกอบอาชีพ

เริ่มจากมีสมาชิก 50 คน มีเงินทุน 4,040 บาท ก่อนจะ“ยกระดับ”เป็นสถาบันการเงินชุมชน ในปี 2549 ปัจจุบัน (พ.ย.2566) ทางกลุ่มมีเงินทุนหมุนเวียน 36 ล้านบาท(ไม่มีหนี้เสีย) มีสมาชิกเงินฝากประจำ 380 คน และสมาชิกเงินฝากพิเศษ 1,110 บัญชี

ในส่วนของบริการธุรกรรมการเงินสถาบันการเงินชุมชนแห่งนี้ จะให้บริการ ฝากเงิน ถอนเงิน ให้สินเชื่อโอนเงิน เติมเงินโทรศัพท์ ชำระค่าไฟฟ้า รวมถึงจัดสวัสดิการให้สมาชิกในทุกช่วงของชีวิต เช่น คลอดบุตร,สูงอายุ,เจ็บป่วย เป็นต้น

“พื้นที่ (หมู่ 2 ต.โป่งน้ำร้อน อ.ฝาง) เมื่อก่อนไม่มีธนาคาร ถ้าคนในชุมชนจะฝาก-ถอน ขอสินเชื่อต้องเดินทางไปถึง 8 กิโลเมตรกว่าจะถึงตัวเมือง การตั้งสถาบันการเงินชุมชนทำให้สมาชิกไม่ต้องเดินทางไกล และยังเป็นการส่งเสริมการออมเงินของคนในชุมชน”เสาวลี กล่าว

หนึ่งในระบบบริหารจัดการที่โดดเด่น “เสาวลี” เล่าว่า สถาบันการเงินชุมชนบ้านดอน  ได้นำระบบ“บัตรสวัสดิการสมาชิก” มาใช้แทนการรับเงินปันผลเป็นเงินสด นับเป็นสถาบันการเงินชุมชนที่แรกและที่เดียวที่นำระบบนี้มาใช้ โดยบัตรสวัสดิการสมาชิกสามารถใช้ซื้อสินค้าในร้านค้าชุมชนและบริการต่างๆของสถาบันการเงินชุมชนบ้านดอนเช่น ชำระค่าน้ำดื่ม ค่าไฟฟ้า เติมเงินโทรศัพท์ ทำให้เงินยังคงหมุนเวียนในชุมชน

“บัตรสวัสดิการสมาชิกนี้ ถ้าสมาชิกนำไปซื้อสินค้าในร้านค้าชุมชน หรือบริการต่างๆ ในชุมชน ก็จะได้รับเงินปันผลต่อที่สอง ตามยอดการซื้อซื้อมาก-ได้มาก

พร้อมกับได้รับประโยชน์จากกิจกรรมส่งเสริมการขาย ลด แลก แจก แถม ชิงรางวัล ชิงสร้อยคอทองคำ ข้าวสาร ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับสมาชิกให้นำบัตรสวัสดิการฯมาซื้อสินค้ากับร้านค้าชุมชน ทำให้กำไรไม่รั่วไหลออกไปนอกชุมชน”

ในส่วนของระบบการบริหารจัดการมี“โครงสร้างคณะกรรมการ” และ “คณะทำงาน” ผ่านกลไกการมีส่วนร่วม โดยกำหนดให้มีการประชุมกรรมการทุกเดือน และมีการประชุมสมาชิกปีละ 2 ครั้ง (กลางปี-ปลายปี)ขณะที่การติดตามงานจะใช้แอพพลิเคชันไลน์ ใช้ระบบโปรแกรมสำเร็จรูปจัดทำข้อมูลและระบบบัญชีการเงินตรวจสอบได้อย่างชัดเจน  มีการทำประกันอัคคีภัย คณะกรรมการมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อครบวาระ ผู้จัดการต้องมาจากคนมีประสบการณ์ที่คณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับการวางระบบการบริหารจัดการที่ดี ขับเคลื่อนโดยระบบ ไม่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล “เสาวลี” เล่า

นอกจากนี้ สถาบันการเงินชุมชนบ้านดอน ยังหารายได้เสริมไม่เฉพาะการตั้งร้านค้าชุมชนบริการท่องเที่ยวโดยรถราง พาชมแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนเท่านั้น สถาบันการเงินยังดำเนินธุรกิจโรงน้ำดื่ม  โครงการประปาหมู่บ้านและเชื่อมโยงกับชุมชนอื่นๆ นำสินค้าซึ่งกลุ่มเหล่านั้นผลิต เช่น ไม้กวาด พวงหรีด ดอกไม้จันทน์มาจำหน่ายในร้านค้าชุมชน สนับสนุนการเงินผ่านกองทุนให้กับกลุ่มแม่บ้านในพื้นที่ เช่น กองทุนแม่บ้านผลิตจิ๊นส้ม (แหนม) กองทุนแม่บ้านผู้สูงอายุ กองทุนกีฬา กองทุนวัดบ้านกองทุนพัฒนาชุมชนและสาธารณประโยชน์ เป็นต้น

ผลลัพธ์การดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าว ส่งผลให้สมาชิกมีเงินออมเพิ่มขึ้น มีหนี้สินลดลง ประเมินจากยอดการขอสินเชื่อจากเดิมสมาชิกจะขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินชุมชนบ้านดอน เฉลี่ยปีละ 10 ล้านบาท ขณะนี้ลดลงเหลือเฉลี่ยปีละ 6 ล้านบาท สะท้อนว่าสมาชิกมีฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นเป็นลำดับ “เสาวลี” ให้ข้อมูล

และนี่คือความสำเร็จของสถาบันการเงินชุมชนบ้านดอน เมื่อชุมชนมีการออมต่อเนื่อง ทำให้ภาระหนี้ภาพรวมของชุมชนลดลง ทั้งยังมีงาน มีรายได้ที่ดีขึ้น

ผลงานที่เกิดประโยชน์แก่สมาชิก ชุมชน และสังคม จึงเหมาะที่จะเป็น “ต้นแบบ” ขยายผลไปสู่วิสาหกิจชุมชนหรือกลุ่มอื่นๆ และขยายผลเป็นสัมมาชีพเต็มพื้นที่อย่างแท้จริง