Think In Truth

'กุลา'คือตำนานศูนย์กลางทางการค้าโลก ของสยาม โดย: ฟอนต์ สีดำ



จิตร ภูมิศักดิ์ นักประวัติศาสตร์และนักภาษาศาสตร์ชื่อดังของไทย ได้ให้ความหมายของคำว่า "กุลา" ไว้ในหนังสือ "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ" โดยสรุปได้ดังนี้:

จิตร ภูมิศักดิ์ อธิบายว่า คำว่า "กุลา" หรือ "กุหล่า" เป็นคำที่คนทางเหนือของประเทศไทยใช้เรียกผู้คนที่อยู่ถัดไปทางตะวันตก เช่น คนพม่าเรียกคนอินเดียว่า "กุลา"  คำนี้มีการเปลี่ยนแปลงและการใช้ที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคและยุคสมัย

ในอดีต คำว่า "กุลา" ถูกใช้เรียกชนชาติต่างๆ ที่มาจากทางตะวันตก เช่น ชาวอินเดีย ชาวพม่า หรือชาวยุโรป ในปัจจุบัน คำนี้ยังคงถูกใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มที่อพยพมาจากประเทศเพื่อนบ้าน

ลักษณะทางสังคม จิตร ภูมิศักดิ์ ได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะทางสังคมของการใช้คำนี้ ซึ่งบางครั้งอาจมีความหมายในเชิงดูถูกหรือเหยียดหยาม

โดยสรุปแล้ว จิตร ภูมิศักดิ์ ได้ศึกษาและวิเคราะห์ความหมายของคำว่า "กุลา" ในเชิงภาษาศาสตร์และประวัติศาสตร์ โดยให้ความสำคัญกับรากศัพท์ การเปลี่ยนแปลง และลักษณะทางสังคมของการใช้คำนี้

ตำนานทุ่งกุลาร้องไห้มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาหลายรูปแบบ แต่โดยหลักแล้วเกี่ยวข้องกับกลุ่มพ่อค้าชาวกุลาที่เดินทางผ่านทุ่งแห่งนี้แล้วประสบกับความยากลำบากเพื่อเข้ามาทำการค้ากับชาวเมืองต่างๆ ไม่ว่าเมืองสาเกตุหรือร้อยเอ็ด เมืองแดดสงยาง เมืองเพีย เมืองหนองหาร บ้านเชียง เมืองศรีจะนาสระ เมืองพิมายปุระ และเมืองอื่นๆ ด้วยการนำเครื่องประดับเปลือกหอยและเครื่องเทศเข้ามาแลกเปลี่ยนสินค้า จำพวกเกลือ เหล็ก ทองแดง สำริด ทองคำ ของป่า ผ้าไหม ครั่ง ไม้ฝางเสน รวมทั้งเครื่องปั้นดินเผาและผลผลิตทางการเกษตร  เล่ากันว่าในอดีตมีกลุ่มพ่อค้าชาวกุลาเดินทางมาจากเมืองเมาะตะมะ ประเทศพม่า เพื่อนำสินค้าไปขายและแลกเปลี่ยนในภาคอีสานของประเทศไทย การเดินทางผ่านทุ่งกุลานั้นยากลำบากมาก เพราะทุ่งแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีหมู่บ้าน ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีร่มเงาจากต้นไม้ มีแต่ทุ่งหญ้าและพื้นทรายที่ร้อนระอุ พ่อค้าชาวกุลาต้องเดินทางด้วยความยากลำบาก อดทนต่อความร้อนและความเหนื่อยล้า จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว ร้องไห้ออกมาด้วยความสิ้นหวังก็หลายครั้ง

พ่อค้าชาวกุลาเดินทางผ่านทุ่งกุลาพร้อมกับสินค้าจำนวนมาก เช่น ครั่ง การเดินทางในทุ่งกุลานั้นยากลำบาก สินค้าที่แบกมาก็หนัก อีกทั้ง ทุ่งกุลาเป็นแหล่งที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุม พ่อค้าชาวกุลาจึงถูกปล้นสะดมวัวควายไปทีละตัวสองตัว กุลาจุงจำเป็นต้องเดินทางออกจากทุ่งกว้างแห่งนี้ให้ทันเวลา เมื่อพ่อค้าชาวกุลาเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจทิ้งสินค้า เมื่อสูญเสียสินค้าไปจนหมดสิ้น  เมื่อเดินทางไปถึงจุดหมายและพบว่าสินค้าที่ทิ้งไปนั้นมีมูลค่ามาก พ่อค้าชาวกุลาก็เสียใจและร้องไห้ออกมา สถานที่ที่พ่อค้าชาวกุลาทิ้งครั่งนั้น ต่อมาได้กลายเป็นหมู่บ้านชื่อ "บ้านดงครั่งน้อย" ในอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ทุ่งกว้างแห่งนี้จึงเรียกกันว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้”

ข้อสังเกต:

  • ตำนานทุ่งกุลาร้องไห้สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากในการเดินทางและการค้าขายในอดีต
  • คำว่า "กุลา" ในตำนานนี้หมายถึงกลุ่มพ่อค้าที่เดินทางมาจากทางตะวันตก ซึ่งอาจเป็นชาวพม่าหรือกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ
  • ทุ่งกุลาร้องไห้ในปัจจุบันไม่ได้แห้งแล้งเหมือนในอดีต มีการพัฒนาแหล่งน้ำและทำการเกษตร ทำให้พื้นที่นี้มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น

ดินแดนอีสานในอดีตเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่มีความสำคัญ เนื่องจากมีสินค้าที่เป็นที่ต้องการของชาวโลกหลายชนิด ทำให้มีพ่อค้าชาวกุลาเข้ามาทำการค้าในดินแดนนี้ ดังนี้

  • สินค้าเกษตรและทรัพยากร:
    • ภาคอีสานมีผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าวหอมมะลิ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลก นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ เช่น ครั่ง ซึ่งใช้ในการย้อมสี และเป็นสินค้าที่มีมูลค่าในสมัยก่อน
    • การที่ภาคอีสานมีผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมาก ทำให้เป็นแหล่งสินค้าสำคัญที่พ่อค้าชาวกุลาเข้ามาทำการค้า
    • ดินแดนอีสานยังมีทรัพยากรจำพวกเหล็ก ทองแดง เงิน สำริด ทองคำ ไม้ฝางเสน คราม สมุนไพรที่มีคุณค่าทางการรักษาและบำรุงร่างกาย เช่นตัง(โสม)เซียม ตังกุย กำยาน จันทร์แดง ฯลฯ เครื่องเทศ เช่น กระวาน เร่ว ดีปรี พริกไทย กระชาย ขิง ฯลฯ
  • ทำเลที่ตั้ง:
    • ภาคอีสานมีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมในการเป็นศูนย์กลางทางการค้า เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    • การที่ภาคอีสานเป็นจุดเชื่อมต่อ ทำให้พ่อค้าชาวกุลาสามารถเดินทางเข้ามาทำการค้าได้สะดวก
  • การค้าชายแดน:
    • ภาคอีสานมีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว ทำให้มีการค้าชายแดนเกิดขึ้น
    • การค้าชายแดนทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาค ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดพ่อค้าชาวกุลาเข้ามาทำการค้า

ในยุคก่อน ชาวอีสานมีแหล่งค้าขายเกลือที่สำคัญหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตเกลือที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ แหล่งตลาดเกลือที่สำคัญมีดังนี้:

  • บ่อพันขัน อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด:
    • ถือเป็นแหล่งเกลือโบราณที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในทุ่งกุลาร้องไห้
    • เป็นแหล่งผลิตเกลือที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 2,500 ปี
    • เกลือจากบ่อพันขันมีคุณภาพดีและเป็นที่ต้องการของคนในภูมิภาค
  • แหล่งเกลือในทุ่งกุลาร้องไห้:
    • ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นบริเวณที่มีแหล่งเกลือกระจายอยู่ทั่วไป
    • มีการทำนาเกลือในหลายพื้นที่ของทุ่งกุลา
    • แหล่งเกลือนี้คาดว่าจะแผ่ขยายรองรับทุ่งกุลาร้องไห้ตอนเหนือทั้งหมดและยังแผ่ขยายเลยชอบทุ่งด้านเหนือไปถึงอำเภอธวัชบุรี ในจังหวัดร้อยเอ็ด และอำเภอยะโสธรของจังหวัดอุบลราชธานี 1
  • แหล่งตลาดแค:
    • แหล่งเกลืออาจจะแผ่ขยายลงไปทางใต้ ผ่านอำเภอบรบือและวาปีปทุมไปรวมกับแหล่งตลาดแค และแหล่งกุลาร้องไห้ก็ได้
  • แหล่งอุดรธานี:
    • เกลือแหล่งนี้เป็นเกลือชั้นหนาที่สุด แล้วแผ่ขยายไปไกลที่สุด

ความสำคัญของตลาดเกลือ:

  • เกลือเป็นสินค้าที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนในยุคก่อน ใช้ในการประกอบอาหาร ถนอมอาหาร และเป็นสินค้าแลกเปลี่ยน
  • ตลาดเกลือจึงเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในดินแดนอีสาน อุตสาหกรรมเกลือมีตลาดที่สำคัญที่เมืองนครธมหรือนครหลวง เสียมเรียบ ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมหมักปลาแหล่งใหญ่ที่ส่งขายไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีน และเกลือหม้อที่ส่งให้พ่อค้าจีนนำไปผสมในตำรับยาสมุนไพรจีน
  • การค้าเกลือมีส่วนในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับชุมชนต่างๆ ในภูมิภาค

ตำนานทุ่งกุลาร้องไห้ จึงเป็นเรื่องราวที่บ่งบอกถึงการเดินทางของกองเกวียนของกลุ่มพ่อค้าจากต่างเมืองทางตะวันตก ทั้งจากพม่า อินเดีย ยุโรป อินโดนีเซีย ซึ่งบางครั้งก็รวมถึงกลุ่มพ่อค้าทางอื่นด้วย เช่นขอม(อีสานใต้ และเสียมเรียบ) เวียดนาม จีน เปอร์เซียและกลุ่มตะวันออกกลาง ต่างก็เดินทางเข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าในดินแดนสยาม จนทำให้เกิดการแผ่อิทธพลทางด้านศาสนา การเมือง การปกครองจากดินแดนอื่นเข้ามามีอิทธพลเหนือดินแดนสยาม โดยเฉพาะศาสนาฮินดู จีน ธิเบต ยุโรป อินเดีย จนทำให้ศาสนาและความเชื่อเดิมในดินแดนสยามถูกกดทับ ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น จึงเกิดการรนณรงค์ต่อต้าน ด้วยวรรณกรรม “รามเกียรติ์” และการสร้างเจคติแห่งความเกลียดชังด้วยคำว่า “เจองู กับ เจอแขก ให้ตีแขกก่อน” การลุกขึ้นต่อสู้ของกลุ่มศาสนาพรามณ์สยามร่วมกับศาสนาผี โดยอาศัยกองทัพผู้หญิงเปลือยอกนำเป็นกองหน้า กองหลังไล่ล่าด้วยฝ่ายพราหมณ์ ดั่งตำนานพระธาตุภูเพ็ก พระธาตุพนม พระธาตุกู่กาสิง พระธาตุปรางค์กู่ธวัชบุรี ตำนานปราสาทหินพิมาย และตำนานพระธาตุอื่นๆ อีกหลายตำนาน จนทัศนคติของคนไทยยกย่องถึงความกล้าหาญของผู้หญิงไทยว่า “ดาบก็แกว่ง มือก็ไกว”

ร่องรอยแห่งความเจริญทางการค้าของไทยมีมาก่อนยุคพุทธกาล และมีความเจริงญรุ่งเรืองสืบเนื่องกันมา จนเกิดการรุกรานเพื่อการปกครองในยุคพระเจ้าจิตเสน ที่เคลมตนเองเป็นมหาอินทร์หลังเป็นกษตริย์ดั่งนามกษัตริย์ว่า มเหนทรวรมันต์ เพื่อหวังให้กลุ่มศาสนาผีเชื่อว่าตนเป็นเทพสูงสุดในความเชื่อ จนเกิดการต่อต้านและลุกขึ้นทำสงครามครั้งใหญ่ จนเกิดความสูญเสียกันทั้งแผ่นดิน ภาวะทางการค้าจึงเสื่อมลง ความขัดแย้งที่ยาวนานจนนครวัดถูกทิ้งร้างเป็นป่าปกคลุมรกชัฏ ประวัติศาสตร์จึงขาดตอน แถมยังถูกบิดเบือนจากนายยอร์จ เซเดย์ และการขโมยวัตถุโบราณออกไปขาย การเชื่อมต่อทางประวัติศาสตร์จึงมีความบกพร่องทางวิชาการจนทุกวันนี้