In News
ดัชนีเชื่อมั่นอนาคตศก.ภูมิภาคในเม.ย.68 แนวโน้ม6เดือนชะลอตัว/เหนือ-อีสานปัง!

กรุงเทพฯ-"ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนเมษายน 2568 สะท้อนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจใน 6 เดือนข้างหน้าที่ชะลอตัวในหลายภูมิภาค ตามแนวโน้มเศรษฐกิจในภาคเกษตรและภาคบริการที่ชะลอลง อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจยังปรับตัวเพิ่มขึ้นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจในภาคเกษตรเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ควรติดตามสภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ และความแปรปรวนของสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด"
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนเมษายน 2568 จากการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดจากสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคพบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนเมษายน 2568 สะท้อนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจใน 6 เดือนข้างหน้าที่ชะลอตัวในหลายภูมิภาค ตามแนวโน้มเศรษฐกิจในภาคเกษตรและภาคบริการที่ชะลอลง อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจยังปรับตัวเพิ่มขึ้นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจในภาคเกษตรเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ควรติดตามสภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ และความแปรปรวนของสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด" โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 73.5 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม จากการจัดกิจกรรมและนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การขยายตัวของภาคการส่งออก อุปสงค์สินค้าอุตสาหกรรมที่มีต่อเนื่อง และคาดว่าจะเข้าสู่ช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชเศรษฐกิจซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมแปรรูป ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตกอยู่ที่ระดับ 72.1 สะท้อนความเชื่อมั่นที่ดี โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและภาคการลงทุน ตามแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีอย่างต่อเนื่อง
ทางด้านดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ระดับ 71.9 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการและภาคเกษตร จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลังในหลายพื้นที่ นอกจากนี้ คาดว่าจะมีปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อการเพาะปลูก ขณะที่ภาพรวมราคาสินค้าเกษตรในปัจจุบันยังอยู่ในเกณฑ์ดี ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 70.5 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ปรับตัวได้ดี โดยมีแรงสนับสนุนจากภาคบริการและภาคเกษตร จากมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรอง และนโยบายผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยเฉพาะในระยะ 6 เดือนข้างหน้าจะเป็นช่วงปลายฤดูฝนและต้นฤดูหนาว
ซึ่งเป็นสภาพอากาศที่เหมาะแก่การเดินทางท่องเที่ยวและการออกเรือเพื่อจับสัตว์น้ำของชาวประมง ขณะที่ความต้องการสินค้าเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ยังส่งสัญญาณบวกต่อเนื่องที่ระดับ 70.1 ทางด้านดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลางชะลอลงมาอยู่ที่ระดับ 66.8 โดยมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มของภาคเกษตรและภาคบริการ ตามแนวโน้มความต้องการสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวจากภาครัฐและท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการบางส่วนมีความกังวลต่อสงครามการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนผู้ประกอบการ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ระดับ 66.0 สะท้อนความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ปรับตัวได้ดี โดยเฉพาะในภาคเกษตรที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามฤดูกาล ประกอบกับมีนโยบายสนับสนุนเกษตรกรของภาครัฐ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นในภาคบริการ โดยแม้จะเป็นช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยวของทะเลฝั่งอันดามัน อย่างไรก็ดี ยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ และสำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑลชะลอลงมาอยู่ที่ระดับ 59.7 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรมและภาคการลงทุน ทั้งนี้ ควรติดตามสภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก รวมถึงความแปรปรวนของสภาพอากาศเป็นสำคัญ