Think In Truth

หมัดต่อหมัดสงครามการค้า'สหรัฐ-จีน' ใคร(จะ) แหลก!!! : ฅนข่าว2499



จุดเริ่มต้นของสงครามการค้าจีน–สหรัฐ มาจากการการตั้งกำแพงภาษีศุลกากรกับสินค้าที่ค้าขายระหว่างประเทศจีนและสหรัฐ วันที่ 6 กรกฎาคม 2561 โดยสหรัฐตั้งภาษีศุลกากร 25% ต่อสินค้าจีนมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพิกัดอัตราใหม่ของประธานาธิบดีสหรัฐ “ดอนัลด์ทรัมป์” ซึ่งทำให้จีนตอบโต้ด้วยการตั้งภาษีศุลกากรขนาดเท่ากันต่อผลิตภัณฑ์ของสหรัฐ

ต่อจากนั้นไม่นานในวันที่ 10 กรกฎาคม 2561 สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐได้จัดพิมพ์รายการผลิตภัณฑ์จีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่จะอยู่ภายใต้พิกัดอัตราที่เสนอใหม่ 10% ตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ จีนตอบโต้ด้วยการประกาศประณามพิกัดอัตราที่เสนอใหม่ว่าไร้เหตุผลและยอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

รัฐบาลทรัมป์ ได้ระบุว่าพิกัดอัตราดังกล่าวมีความจำเป็นเพื่อคุ้มครองความมั่นคงของชาติและทรัพย์สินทางปัญญาของธุรกิจสหรัฐ และเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐกับจีน ในเดือนสิงหาคม 2560 ทรัมป์ ได้เปิดการสอบสวนอย่างเป็นทางการในเรื่องการโจมตีทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐและพันธมิตร ซึ่งทำให้สหรัฐเสียหายเป็นมูลค่าประเมินไว้ระหว่าง 225,000 ถึง 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

รัฐบาลทรัมป์ ได้อาศัยอำนาจบางส่วนตามมาตรา 301 แห่งรัฐบัญญัติการค้า ค.ศ. 1974 หรือเมื่อ 51 ปีที่ผ่านมา (2517) เพื่อป้องกันสิ่งที่อ้างว่าเป็นวัตรการค้ามิชอบและการโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายให้อำนาจประธานาธิบดีกำหนดค่าปรับหรือบทลงโทษอื่นต่อคู่ค้าฝ่ายเดียวได้หากถือว่าทำร้ายผลประโยชน์ทางธุรกิจของสหรัฐโดยมิชอบในเดือนเมษายน 2561 สหรัฐกำหนดพิกัดอัตราต่อสินค้านำเข้าเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมจากจีน ตลอดจนแคนาดาและประเทศในสหภาพยุโรป

ทั้งนี้แม้ว่าการริเริ่มภาษีศุลกากรกับสินค้าที่ค้าขายระหว่างประเทศจีนและสหรัฐจะเริ่มตั้งแต่ 6 กรกฎาคม  2561 แต่สงครามการค้าจีน-สหรัฐครั้งรุนแรงที่สุดได้เริ่มขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ คือในวันที่ 12 เมษายน 2568 เมื่อประเทศจีนภายใต้ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ประกาศเก็บภาษีศุลกากรต่อสหรัฐอเมริกาที่ 125%เช่นเดียวกับที่ ดอนัลด์ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้เรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อประเทศจีน 145% จากอัตราภาษีดังกล่าวทำให้เกิดการเลิกการค้าขายระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศจีน

กล่าวว่า ภายหลังความสัมพันธ์เลวร้ายลง สำนักงานภาพยนตร์แห่งชาติจีนได้สั่งยกเลิกการภาพยนตร์ฮอลลีวูดทั้งหมดจากสหรัฐอเมริกาโดยให้มีผลทันทีโดยทางการจีนระบุว่า พวกเขาจะสู้จนถึงที่สุด มากกว่าจะยอมจำนนกับสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นการบีบบังคับจากสหรัฐฯ และได้เพิ่มกำแพงทางการค้าของจีนต่อสหรัฐฯ เพื่อเป็นการตอบโต้แล้ว

จากความเคลื่อนไหวของสหรัฐอเมริกา กับจีนสะท้อนให้เห็นสงครามการค้าของ 2 ประเทศมหาอำนาจ จากการใช้มาตรการกำแพงภาษี ซึ่งหลังจากโดนัลด์ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัย 2 เมื่อต้นปี 2025 การตอบโต้ของทั้ง 2 ประเทศยิ่งเข้มข้นแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน

กล่าวคือ นับตั้งแต่วันแรกที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง เขาประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% รวมถึงขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 10% เพื่อตอบโต้ปมผู้อพยพและยาเฟนทานิลที่ไหลทะลักเข้าสู่สหรัฐฯ

1 กุมภาพันธ์ 2025 ทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากทั้ง 3 ประเทศ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025

3 กุมภาพันธ์ 2025 ทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีให้แคนาดา-เม็กซิโก เป็นเวลา 30 วัน ขณะที่คู่ค้าทั้ง 2 ประเทศได้ดำเนินการเกี่ยวกับความปลอดภัยชายแดนและการค้ายาเสพติด แต่ ยกเว้นจีน

4 กุมภาพันธ์ 2025 ภาษีนำเข้าสินค้าจีนทั้งหมด 10% ที่ส่งไปสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ ด้านจีนตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ LNG ของสหรัฐฯ ในอัตรา 15% และอีก 10% สำหรับน้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตรและรถยนต์บางรุ่นจากสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025

4 มีนาคม 2025 ทรัมป์เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากจีนอีก 10% อ้างเหตุผลว่าจีนปล่อยให้ยาเฟนทานิลทะลักเข้าสหรัฐฯ

วันเดียวกันจีนได้กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรที่สำคัญของสหรัฐฯ สูงถึง 15% โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. นอกจากนี้ยังขยายจำนวนบริษัทของสหรัฐฯ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมการส่งออกและข้อจำกัดอื่นๆ ด้วย

10มีนาคม 2025 จีนจัดเก็บภาษีตอบโต้สินค้าเกษตรสำคัญของสหรัฐฯ ในอัตรา 15% ได้แก่ ไก่ หมู ถั่วเหลืองและเนื้อวัว

2 เมษายน 2025 ทรัมป์ประกาศปลดแอกสหรัฐฯ เปิดตัวเลขภาษีนำเข้าที่จะเรียกเก็บจากประเทศคู่ค้าทั่วโลกในอัตราแตกต่างกัน โดยจีนถูกตั้งกำแพงภาษี 34% มีผลวันที่ 9เมษายน 2025

แฟ้มภาพเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2025 สินค้าส่งออกที่ท่าเรือในเมืองหยานไถ มณฑลซานตง ทางตะวันออกของจีน

4 เมษายน 2025 จีนโต้ตอบด้วยการประกาศแผนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากสหรัฐฯ เพิ่มอีก 34% เริ่มตั้งแต่วันที่ 10เมษายน 2025พร้อมกำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากเพิ่มเติม

9 เมษายน 2025 สหรัฐฯ ใช้ไม้แข็งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 50% ส่งผลให้สินค้านำเข้าทุกชนิดจากจีนถูกเก็บภาษีสูงถึง 104%

วันเดียวกันจีนไม่ยอมอ่อนข้อ ประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 84% มีผลตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.เป็นต้นไป

ต่อมาทรัมป์ ประกาศกร้าวขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 21% รวมของเดิม 104% เท่ากับว่าขณะนี้สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีต่อจีนสูงถึง 125% และให้มีผลทันที โดยทรัมป์ชี้ว่าจีนไม่เคารพตลาดโลก

ในทางกลับกัน ผู้นำสหรัฐฯ สั่งระงับมาตรการภาษีต่างตอบแทนรายประเทศออกไป 90 วัน หลังมีมากกว่า 75 ประเทศติดต่อผู้แทนสหรัฐฯ เพื่อพยายามเจรจาหาทางออกเรื่องการค้า ซึ่งประเทศเหล่านี้ไม่ได้ตอบโต้มาตรการของทรัมป์

ด้านจีนยื่นหนังสือต่อองค์การการค้าโลก (WTO) คัดค้านการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ โดยมองว่าเป็นการกลั่นแกล้ง

10เมษายน 2025 สงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติยังคงดุเดือดเมื่อทรัมป์ ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทุกประเภทเป็น 145% และรอให้สี จิ้นผิงฃ" ผู้นำของจีน เป็นฝ่ายขอเปิดเจรจา

ด้านจีน ตอบโต้อย่างรวดเร็วด้วยการจำกัดการส่งออกภาพยนตร์จากสหรัฐฯ และเพิ่มภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 84% อีกทั้งยังปฏิเสธการจัดการพูดคุยในระดับผู้นำระหว่าง 2 ประเทศ

11 เมษายน 2025 กระทรวงการคลังจีน ประกาศขึ้นอัตราการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% แล้ว

จากข้อมูลเบื้องต้นนี้แม้ว่านโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์อาจให้ประโยชน์กับสหรัฐฯ ในระยะสั้น แต่จะทำให้สหรัฐฯ สูญเสียบทบาทผู้นำในเศรษฐกิจโลก พันธมิตรทางการค้าดั้งเดิมอาจเปลี่ยนท่าที และเปิดโอกาสให้จีนมีบทบาทมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐฯ ได้ประโยชน์อย่างมากจากสถานะผู้นำทางเศรษฐกิจ แต่หากสหรัฐฯ เปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้นำ” เป็น “ผู้รุกราน” ผลประโยชน์เหล่านั้นอาจสูญหาย และเศรษฐกิจโลกอาจเผชิญกับการปรับตัวครั้งใหญ่ในขณะที่จีนในฐานะเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก อาจเป็นหนึ่งในผู้ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้

กล่าวได้ว่า มาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจโลก และส่งผลกระทบต่อทั้งพันธมิตรและคู่แข่งของสหรัฐฯ แม้ว่าจีนจะเผชิญแรงกดดันในระยะสั้น แต่ในระยะยาว อาจเป็นโอกาสให้จีนกระจายตลาดและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

จับตามดูกันต่อไปว่าสงครามการค้า“สหรัฐ-จีน” ใคร(จะ)แหลก.