Think In Truth

นางแมวแห่งสายฝน: พิธีกรรมบูชาแห่ง ความหวังเมื่อฝนแล้ง โดย: ฟ้อนต์ สีดำ



เมื่อสายฝนไม่หลั่งรินจากฟากฟ้า เมื่อผืนดินแห้งผากแตกระแหง และต้นข้าวในนาอันรอคอยหยดน้ำจากเบื้องบนเริ่มโรยรา ชาวบ้านในดินแดนอีสานซึ่งมีชีวิตผูกพันแน่นแฟ้นกับฤดูกาล ย่อมต้องแสวงหาทางเยียวยาธรรมชาติด้วยวิธีแห่งศรัทธา หนึ่งในนั้นคือ “พิธีแห่นางแมว” พิธีกรรมท้องถิ่นที่ผสานความเชื่อ ความงาม และความหวังไว้ในห้วงเดียวกัน เป็นมรดกวัฒนธรรมที่บรรพชนมอบหมายให้ลูกหลานรักษาไว้ตราบวันฟ้าฝนจะคืนกลับ

รากเหง้าแห่งประเพณี: จากชีวิตชนเผ่าสู่พิธีกรรมแห่งฟ้า

ประเพณี คือ พฤติกรรมหมู่ที่สืบสานกันมาอย่างยาวนานในสังคม เป็นระเบียบแบบแผนที่เกิดจากการตกผลึกแห่งเวลา ความเชื่อ และปัญญาชาวบ้าน แบ่งได้เป็น จารีตประเพณี ที่เกี่ยวกับศีลธรรม มีข้อบังคับ, ขนบประเพณี ที่มีรูปแบบกำหนดชัดหรือถ่ายทอดด้วยวาจา, และ ธรรมเนียมประเพณี ซึ่งเกิดจากความคุ้นชิน โดยปราศจากข้อกำหนดชัดเจน

พิธีแห่นางแมว มีรากเหง้าจากอดีตอันเนิ่นนาน เมื่อมนุษย์ยังรวมกลุ่มอยู่ภายใต้หัวหน้าเผ่าและดำรงชีวิตอยู่กับดินฟ้าอากาศอย่างใกล้ชิด ความเปลี่ยนแปลงของอากาศและความขัดสนในฤดูเพาะปลูกเป็นแรงผลักดันให้เกิดการค้นหาวิธีบันดาลฝน ด้วยปัญญาเชิงสังเกตและศรัทธาในสิ่งเหนือธรรมชาติ ชาวบ้านจึงหันไปพึ่งพิธีกรรม เพื่อผูกสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้มองไม่เห็นแต่ทรงอำนาจเหนือชีวิตมนุษย์

แมว…ผู้นำฝน และบทบาทแห่งเคล็ดวิถี

แมว สัตว์ผู้ซึ่งขนของมันไม่ถูกกับสายฝน ถูกเลือกเป็นศูนย์กลางแห่งพิธี ด้วยความเชื่อว่าเสียงร้องของแมวเมื่อเปียกฝน เป็นสัญญาณบันดาลให้ฝนตก ชาวอีสานจึงถือเคล็ดว่า หากทำให้แมวร้องกลางขบวนแห่ จะชักนำสายฝนมาได้จริง

ในขบวนพิธี จึงมีการหากระทอ หรือเข่งขนาดใหญ่ ฝาปิดสนิท นำแมวสีดำตัวเมียใส่ไว้ในนั้น แล้วใช้ไม้สอดให้คนหาม 2 คน ด้านหน้าคือผู้นำกล่าว “คำเซิ้ง” เป็นบทกลอนพื้นบ้านที่วิงวอนต่อฟ้าและเมฆให้หลั่งฝนลงมา ขบวนจะเคลื่อนผ่านบ้านทุกหลังคา และเจ้าของบ้านจะสาดน้ำใส่แมวเพื่อกระตุ้นเสียงร้อง ซึ่งถือเป็นการร่วมบุญโดยทั่วกัน

แมวดำ - ผู้มีอำนาจสื่อสารระหว่างโลก

พิธีแห่นางแมวมักจะใช้แมวสีสวาดหรือแมวสีดำ โดยจะถูกนำใส่ในตะกร้าทำจากไม้ไผ่หรือหวาย และปิดฝาเพื่อป้องกันไม่ให้แมวหลบหนีไป แมวที่มีสีคล้ายเมฆหรือสีดำจะถูกเลือกใช้เพราะเชื่อว่าจะนำมาซึ่งโชคลาภ ตะกร้านี้จะถูกแขวนไว้ที่เสาไม้หรือไม้ไผ่ที่มีคนหามสองคนคอยถืออยู่ พิธีเริ่มด้วยผู้สูงอายุในกลุ่มขอให้แมวนำฝนมาสู่แผ่นดิน แล้วหามแมวไปรอบๆ หมู่บ้าน ผ่านบ้านใครก็ให้เอาน้ำไปสาด ที่ทำอย่างนี้เพราะมีความเชื่อว่าถ้าทำให้แมวร้อง ก็จะเหมือนเป็นการเรียกฝนให้ตกลงมา

เสียงร้องของแมวที่ถูกสาดน้ำสามารถตีความได้ว่าเป็นเสียงร้องของธรรมชาติที่เกิดขึ้น  บ่อยครั้งที่แมวโดยสาดแมวก็จะร้องเพื่อให้พญาแถนนั้นเห็นใจ  และนั้นคือพลังพิเศษเพื่อเจาะทะลุชั้นฟ้าแทรกผ่านเมฆหมอกให้ถึงเทพเจ้าแห่งฝน ได้จัดสรรน้ำตกลงมายังพื้นที่ที่ร้องขอ

ลำนำแห่งคำเซิ้ง: ถ้อยคำบูชาและเสียงคร่ำครวญของแผ่นดิน

คำเซิ้งในการแห่นางแมว ไม่ได้เป็นเพียงกลอนเพื่อขับร้อง แต่คือ คำอธิษฐานของคนทั้งชุมชน ที่รวมตัวกันขอความเมตตาจากสวรรค์ บรรยายถึงความแห้งแล้ง ความทุกข์ยาก ความหิวโหยที่ปกคลุมแผ่นดิน และอ้อนวอนให้ฝนโปรยปรายลงมาดั่งสายน้ำทิพย์ คำเซิ้งตอนหนึ่งกล่าวว่า:

“เต้าอีแม่นางแมว แมวมาขอไข่ ขอบ่ได้ขอฟ้าขอฝน
ขอน้ำนต์อดหัวแมวบ้าง บ่ได้ค่าจ้างเอาแมวข้อยมา...
ฝนบ่ตกข้าวไฮ่ตายเหมิดแล้ว ฝนบ่ตกข้าวนาตายแล้งเหมิดแล้ว...”

บทเซิ้งเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจนตรอกของชีวิตชาวไร่ชาวนา และพลังใจที่แม้เล็กน้อยก็ยังมุ่งหวังสื่อสารกับฟ้าเบื้องบน

ฤดูกาลแห่งศรัทธา: เวลา และวิธีแห่งพิธีกรรม

พิธีแห่นางแมวไม่มีฤกษ์ตายตัว มักจัดขึ้นในช่วงเดือน 7–9 เมื่อฟ้าฝนล่าช้า ขบวนแห่จะเริ่มยามเย็น พลบค่ำ ซึ่งถือเป็นเวลาที่คนอยู่พร้อมหน้ากันในหมู่บ้าน และสอดคล้องกับพลังของธรรมชาติที่พร้อมรับการกระตุ้น เมื่อฝนตกยามค่ำคืน ความร้อนของผืนดินจะลอยกระทบกับกลุ่มเมฆ เกิดเป็นการกลั่นตัวของละอองน้ำ และกลายเป็นฝนตกลงมาในวันถัดไป

ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับกับประเพณีสงกรานต์แล้วต่อด้วยประเพณีบุญบั้งไฟ คือการเพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศจากการสาดน้ำในประเพณีสงกรานต์ และการกระตุ้นให้เกิดเม็ดฝนจากการจุดบั้งไฟ ที่มีควันเป็นเกลือสะตุที่มีคุณสมบัติในการดูดความชื้นมาเป็นแก่นฝน เพียงแต่การแห่นางแมว เป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันในระยะสั้นๆ คือแห่นางแมวอาจจะหนึ่งวัน ถึงสองวัน แล้วทิ้งระยะประมาณสามวัน ถึงหนึ่งสัปดาห์ ก็จะทำพิธีเลี้ยงผีปู่ตา ซึ่งจะมีการจุดบั้งไฟ เพื่อให้มีควันบั้งไฟกระตุ้นให้เกิดฝน

แห่นางแมว: ภูมิปัญญา ความเชื่อ และเสียงหัวเราะแห่งหมู่บ้าน

แม้พิธีกรรมนี้จะดูแปลกตาสำหรับคนภายนอก แต่แท้จริงแล้วคือ การแสดงออกถึงความร่วมแรงร่วมใจของชุมชน ที่ผูกโยงกันด้วยวัฒนธรรม ศรัทธา และเสียงหัวเราะ แม้ภายใต้เงามืดของภัยแล้ง การแห่นางแมวคือเทศกาลที่หล่อเลี้ยงหัวใจให้ยังเชื่อมั่นในพลังแห่งมนุษย์และธรรมชาติ

แม้แมวจะร้องด้วยความตื่นกลัว แม้ผู้แห่จะเปียกโชกไปด้วยน้ำสาด แต่ความหวังของคนทั้งหมู่บ้านที่แฝงอยู่ในเสียงเซิ้งกลับก้องสะท้อนให้เห็นถึงพลังชีวิต ที่ต่อสู้กับฤดูกาลอันโหดร้ายด้วยภูมิปัญญาแบบพื้นถิ่นอย่างลึกซึ้ง

นัยยะแฝงเร้น – การประท้วงเงียบของชาวนา

ในสายตาสาธารณชนทั่วไป พิธีแห่นางแมวอาจดูเป็นเพียงพิธีกรรมพื้นบ้านของชาวอีสานที่จัดขึ้นเมื่อฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล แต่หากพิจารณาผ่านแว่นตาแห่งประวัติศาสตร์และการเมืองวัฒนธรรมตามแนวคิดของ ศาสตราจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ พิธีกรรมนี้กลับเผยให้เห็นนัยยะแฝงเร้นที่ลึกซึ้ง นั่นคือ การประท้วงเชิงวัฒนธรรมของชาวนา ผู้ไร้อำนาจในโครงสร้างรัฐสมัยใหม่

ศ.นิธิเคยกล่าวไว้ในหลายบทความว่า วัฒนธรรมของชาวบ้านคือ “เครื่องมือในการต่อรองกับอำนาจ” เมื่อรัฐไม่สามารถบันดาลฝนให้หลั่ง ชาวบ้านจึงหันไปพึ่ง “ฟ้า” ในแบบของตน พิธีแห่นางแมวจึงกลายเป็นพื้นที่แห่งการกำหนดชีวิตด้วยตนเอง เป็น พิธีที่ผูกโยงทั้งศรัทธา ความหวัง และการต่อต้านที่ไม่อื้ออึง เป็นการต่อสู้แบบเงียบงัน แต่ฝังรากลึกในโครงสร้างของชุมชน

แมวในกระทอ — ผู้ซึ่งไม่อาจพูดได้ แต่ร้องเสียงหลงเมื่อเปียกน้ำ — อาจตีความได้ว่าเป็นภาพแทนของ “ประชาชนผู้ไร้เสียง” ภายใต้การปกครองที่ไม่ตอบสนอง แมวที่ถูกหามไปรอบหมู่บ้านเพื่อให้เปียกและร้องให้ได้มากที่สุด คือ สัญลักษณ์ของความเจ็บปวดที่ถูกสาดซ้ำโดยความเฉยชาแห่งอำนาจ และในขณะเดียวกัน การรวมตัวของชาวบ้านเพื่อแห่แมว ตีเกราะ เคาะไม้ และเซิ้งคำอ้อนวอนฝน ก็เปรียบประดุจ “การชุมนุม” รูปแบบหนึ่งที่ปลอดภัยจากการถูกปราบปราม

ในแนวคิดของศ.นิธิ วัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งตายตัว แต่คือพื้นที่แห่งการต่อรองความหมาย และในพิธีกรรมอย่าง “แห่นางแมว” นี้เองที่ประชาชนยังสามารถแสดงความรู้สึกต่อโลก ต่อรัฐ และต่อความอยุติธรรม โดยไม่ต้องเอ่ยวาจาตรงไปตรงมา นี่จึงมิใช่เพียงพิธีกรรมเพื่อเรียกฝน แต่คือ เสียงกู่ร้องของประชาชนในฤดูแล้งแห่งอำนาจ

เมื่อแมวร้องในกระทอ มันอาจมิได้ร้องเพราะน้ำ แต่คือเสียงสะท้อนของผู้ที่สังคมไม่เคยรับฟัง

บทส่งท้าย: เมื่อแมวร้อง ฟ้าจึงหลั่งน้ำใจ

ประเพณีแห่นางแมวไม่เพียงเป็นการขอฝน แต่คือการแสดงถึงสายใยแห่งวัฒนธรรมที่สืบทอดจากบรรพชน เป็นการบูชาฟ้า ขอพรจากธรรมชาติ และสร้างสายสัมพันธ์ในหมู่ชนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เป็นการเรียนรู้ถึงความเปราะบางของมนุษย์ท่ามกลางธรรมชาติ และความแข็งแกร่งที่เกิดจากความสามัคคี

เมื่อแมวร้อง ฟ้าอาจหลั่งน้ำใจ
เมื่อชาวบ้านเซิ้งเสียงใส ธรรมชาติอาจไหวหวั่น
และเมื่อประเพณียังดำรง มนต์ขลังแห่งฝนก็ยังมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย

ประเพณีแห่งนางแมวไม่ใช่เพียงประเพณีแห่งความงมงายที่กระบวนการแฝงไว้ซึ่งความสนุกสนานที่เป็นสื่อกลางแห่งความร่วมมือ แต่มันเป็นพลังต่อรองเงียบที่แฝงไว้ซึ่งความทรงพลังแห่งการผลักดัน ที่ผู้ปกครองไม่ควรต้องมองข้าม ไม่ใช่ซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลจะหันไปมองเพียงความเป็นพิธีกรรมที่จะชักชวนต่างชาติเข้ามาเที่ยวและได้สัมผัส แต่มันเป็นเสียงที่ส่งออกมาเพื่อให้ได้มองถึงปัญหาที่จะได้รับการแก้ไขด้วยความร่วมมือทุกฝ่าย เพื่อให้กระบวนการผลิตของคนในสังคม มีความอุดมสมบูรณ์ มีอยู่มีกินตลอดทั้งปี